จิปาถะ เรื่องสั้น อีเปรต (คุก หรือ กุ๊ก)

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 

23

จิปาถะ เรื่องสั้น อีเปรต (คุก หรือ กุ๊ก)

กรณี อาจารย์และพนักงานมหาวิทยาลัยสารขัณฑ์  7 ท่าน ร่วมทำหนังสือส่งให้กรรมการสภาฯ สอบถามสถานภาพของนางแต้ม ตัวละครของผม หรือ อธิการบดี ปรากฏว่ามีกรรมการสภาหลายท่าน อยากเอาใจ“นางแม่” จึงนำหนังสือดังกล่าวไปมอบให้ เป็นเหตุให้นางแต้มโกรธจัด หน้าแดงยังกับลูกตำลึงสุก ตาแดงกล่ำ ลูกนัยน์ตาถลนออกมานอกเบ้า  ขนหัวคิ้วตั้งขมวดพันกันยุ่งเหยิง ปากสั่นม้วนกลับไปมาราวเกลียวคลื่น ตะโกนสุดเสียที่แหบแห้งเพราะชราภาพ “ฟ้องแม่มันให้หมด” ทั้งที่ศาลสารขัณฑ์และสารคามบุรี โดยลืมไปว่า อาจารย์และพนักงานเขามีสิทธิ์ ที่จะทำเช่นนั้นโดยสุจริตได้ ซึ่งผู้สันทัดกรณีแจงให้ฟังว่า  

“มาตรา 329 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต

(1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม

(2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่

(3) ติชม ด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ

(4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม เรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม

ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท”

ใน(4)จะไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ถ้าแจ้งข่าวให้กรรมการสภาทุกคนเฉพาะตัวไม่ได้ส่งให้แมวหมาที่อื่น เว้นแต่คนที่รับเรื่องคิดอยู่ว่าตัวเองเป็นแมวเป็นหมาตามปกติก็เลยดีใจว่าเจ้าพนักงานมหาวิทยาลัยส่งเรื่องมาประจานให้แมวหมา รู้เรื่องของเจ้านาย จึงคาบไปบอก งานนี้จึงต้องคุกทั้งหมาทั้งนายแน่นอน ติดคุกเพราะจิตใต้สำนึกของตัวเองที่บอกว่าตัวเองเป็นหมาเป็นแมว ถึงแม้จะเป็นกรรมการสภาก็ตาม ต่อไปต้องเรียกว่าสภาหมาสภาแมวจึงน่าจะเหมาะสม”

ผศ.ดร.ชลิดา ภัทรศรีจิรากุล บอกว่า “ตอนแรก กดเม้นท์ไม่ได้ นึกว่าล็อค กำลังว่าง มีเวลานิดหน่อย นั่นแหละ

รอไปถึงก่อน ตอนจบค่อยว่ากันใหม่ ใครยอมใคร ใครคุยกับใคร พวกเสมอนอก โปรดอดใจรอ

อย่าใจร้อน อย่าเพิ่งเถียงกัน เดี๋ยวเสียงาน รอผล แฮ่ๆๆๆ ว่าจะแฮกๆๆ เหนื่อย…แทน

ส่วน ผศ.ดร. La Ph บอกว่า “น้องๆที่ถูกฟ้องทั้งกรณี 9 คน และ 7 คน ถือว่าโชคร้ายที่ทำงานภายใต้ผู้บริหารที่ขาดความเมตตากรุณา (ฟ้องคนเดียวยังไม่พอใจ ยังบังคับให้ผู้บริหารระดับรองอธิการ คณบดี และผอ.สำนักฯไปฟ้องตามด้วย) กรณีแบบนี้เคยเกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาบางแห่ง มีทั้งป้ายแสดงความคิดเห็นและใบปลิวแต่ผู้บริหารที่อื่นๆเขาก็วางเฉย ถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่คนในองค์กรจะแสดงความคิดเห็นหรือเห็นต่างได้ เขาไม่เก็บมาเป็นสาระสำคัญ เขามุ่งเน้นทำงานในหน้าที่ตามหลักธรรมาภิบาล และมีความปรารถนาดีต่อลูกน้องและครอบครัวโดยไม่เลือกปฏิบัติ เห็นผู้ร่วมงานเป็นญาติ เป็นน้อง เป็นลูก เห็นลูกศิษย์เป็นลูกๆหลานๆ ถ้าคิดแต่อาฆาตพยาบาทแบบที่สารขัณฑ์ ก็ไม่สมควรอาสามาเป็นผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา (ตามระบอบประชาธิปไตย) ควรจะไปเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่ไหนสักแห่งน่าจะเหมาะสมที่สุด..

สุดท้าย คม หักศอก ตะโกน “ไปเป็นเจ้าแม่(ขาใหญ่)ในคุกซะ” อาจารย์เป็ด ตะโกนถามกลับมาว่า “อะไรนะ ได้ยินไม่ชัดค่ะ”…”คุกครับ ไม่ใช่กุ๊ก”

….

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *