เรื่องสั้น หัวใจเปื้อนชอล์ก ตอน ดร.ทองเพิ่ม

 

tongperm

เรื่องสั้น หัวใจเปื้อนชอล์ก ตอน ดร.ทองเพิ่ม
สมเกียรติ ใช้ดี ครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ เขาเป็นคนรูปร่างสันทัด ผิวขาว ใบหน้าค่อนไปทางสี่เหลี่ยม ในตาสีเหล็กคมเข้มที่บ่งบอกถึงการผ่านประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายมาอย่างโชกโชน ในชีวิตการรับราชการนั้น บางครั้งเขาทำงานประสบผลสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม แต่บางครั้งก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เขาเป็นคนเรียบง่าย รื่นเริงสนุกสนาน ชอบความสะดวกสบาย แต่บางครั้งเขาหาเรื่องให้ต้องอยู่อย่างยากลำบาก หลังจากเกษียณอายุราชการได้ 2 ปี เขาเดินทางไปกรุงพนมเป¬ญ เมืองหลวงของประเทศกัมพูชา การไปครั้งนั้น เขามีเป้าหมายที่จะศึกษาภาษาเขมรเพิ่มเติมจากที่ศึกษาด้วยตนเองมาบ้างแล้ว เขาคิดว่าการได้สัมผัสกับเจ้าของภาษาจะทำให้เข้าใจและเรียนรู้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า เขาจะทนลำบากอยู่ในประเทศกัมพูชาได้นานมากน้อยแค่ไหน
ขณะที่อยู่ในกรุงพนมเปญ¬ เขามีปั¬ญหาเรื่องอาหารการกิน ที่พักอาศัย อากาศที่ร้อนอบอ้าว และการสื่อสารที่เกิดจากความไม่สมบูรณ์ด้านการรับรู้ของเขาเองเนื่องจากอายุมาก เช่น มองไม่ค่อยเห็น ฟังไม่ค่อยได้ยิน พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง และฟันไม่ดีกินอะไรไม่ค่อยได้ ดังนั้นเมื่อทนอยู่ได้ระยะหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทย สำหรับเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่แรกเป็นอันว่าได้เท่าไหนเอาเท่านั้น เขาคิดว่าอายุ 60 กว่าแล้วไม่ควรต้องทำตัวลำบากถึงขนาดนั้น
เขาเดินทางกลับด้วยรถแท็กซี่ซึ่งวิ่งรับส่งผู้โดยสารระหว่างกรุงพนมเปญ¬กับบ้านปอยเปต อำเภอโอ จโรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นเขตแดนติดกับด่านตรวจคนเข้าเมือง บ้านคลองลึก อำเภออรั¬ญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ประเทศไทย รถออกจากพนมเปญ¬เวลาเที่ยงคืน วิ่งมาตามทางหลวงหมายเลข 5 พนมเปญ¬ กำปงชนัง ศรีโสภณ และปอยเปต สาเหตุที่รถต้องวิ่งกลางคืนก็เพื่อจะได้มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองพอดีกับเวลาที่ด่านเปิด ผู้โดยสารจึงมีเวลามากพอที่จะทำกิจธุระหรือเดินทางเข้ากรุงเทพฯได้อย่างสบายๆ และอีกประการหนึ่ง เมื่อรถแท็กซี่ส่งผู้โดยสารเรียบร้อยแล้ว จะรอรับผู้โดยสารที่จะเดินทางกลับไปพนมเป¬ญ ทำให้สามารถวิ่งรถได้วันละ 2 เที่ยว
ถนนจากพนมเปญ¬มาปอยเปตเป็นถนนลูกรัง มีบางช่วงลาดยางแต่ชำรุดทรุดโทรมเป็นหลุมเป็นบ่อ คนขับรถจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจตกหลุมหรือรื่นไหลลงข้างทางได้ ยิ่งเดินทางตอนกลางคืนยิ่งน่ากลัว แต่เมื่อได้ตัดสินใจใช้เส้นทางนี้แล้ว ไม่ควรจะวิตกกังวล ต้องทำใจให้ได้ ถ้าต้องตายก็ตายไป ถ้ารอดได้ค่อยว่ากันใหม่ ในขณะที่รถแท็กซี่ ซึ่งมีน้าเหลือง เป็นคนขับวิ่งมาด้วยความเร็วปกติไม่รีบร้อน ผู้โดยสารที่นั่งมาเต็มคันรถ คือนั่งตอนหน้า 1 คน ตอนหลัง 3 คน ราคาค่าโดยสารที่นั่งตอนหน้าและตอนหลังจะแตกต่างกันเล็กน้อย ครูสมเกียรตินั่งมาตอนหน้าเพราะจองไว้ก่อน นั่งคู่มากับน้าเหลือง ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกัน รถวิ่งไปเรื่อยๆ ผู้โดยสารนั่งหลับๆตื่นๆมาตลอดทาง เนื่องจากแอร์รถเย็นมากครูสมเกียรติจึงต้องนำเสื้อกันหนาวขึ้นมาสวมใส่ นั่งหลับตาคิดไปต่างๆนานา อากาศภายในรถคงแตกต่างจากอากาศภายนอกซึ่งคงจะร้อนอบอ้าวเหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา และความร้อนนี่เองที่เป็นอีกอุปสรรคหนึ่งของความล้มเหลวครั้งนี้
เขานั่งคิดถึงผู้คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการเดินทางเช่นเดียวกับเขา ที่ต้องนั่งหลับๆตื่นๆมาในรถแทนที่จะนอนหลับอย่างสุขสบายอยู่กับบ้าน แต่คิดไปคิดมาก็ยังดีกว่าบางคนที่ต้องนั่งรถโดยสารที่ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลไคลย้อย หรือนอนอยู่ตามม้าหินหรือบนพื้นแถวด่านตรวจคนเข้าเมืองเนื่องจากออกจากด่านไม่ทัน และยังดีกว่าบางคนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ซึ่งมีอุปกรณ์การรักษาระโยงระยาง รอเวลาที่จะพ้นไปจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ในท่ามกลางความมืดที่แสงไฟหน้ารถส่องสว่างเป็นทางยาวไปตามถนนข้างหน้า เสียงหนักเบาของเครื่องยนต์เป็นไปตามจังหวะของการขับที่ระมัดระวัง ครูสมเกียรตินั่งสัปหงกหลับอยู่หลังแอร์ที่พ่นความเย็นออกมาอย่างมิรู้เบื่อ ณ ขณะนั้นเสียง ดร.ทองเพิ่ม ก็ดังขึ้น
“เฮ้ย! สมเกียรติ รถยนต์ชนกัน มีคนตายหลายคน รีบไปช่วยเขาด้วย ”
ดร. ทองเพิ่ม อดีตผู้อำนวยการฯ หัวหน้าของเขาเดินมาเรียกที่หน้าบ้าน
ครูสมเกียรติจำเสียงหัวหน้าเขาได้ดี วิ่งออกมาดูที่หน้าบ้าน แต่ ดร. ทองเพิ่มไปไกลแล้ว เขาจึงกลับเข้าบ้าน คิดสงสัยว่า
“ดร.ทองเพิ่ม ท่านตายไปหลายเดือนแล้วจากอุบัติเหตุรถชนกันนี่หว่า! แล้วมาเรียกเราได้อย่างไรวะ!”
และคิดเรื่อยเปื่อยไปถึงนิสัยเสียของท่าน คือเป็นคนไม่ยอมทำอะไรด้วยตนเอง แต่ชอบใช้คนอื่นทำให้ ครั้งหนึ่งเราไปราชการที่กรุงเทพฯด้วยกัน ขณะที่เขาจัดของอยู่ที่ท้ายรถ ท่านเดินมาเปิดประตูข้างรถ เห็นถุงสีเขียวว่างอยู่ที่เบาะที่นั่ง ท่านสั่งว่า สมเกียรติ เอาถุงนี้ไปไว้หลังรถด้วย เขาต้องเดินจากหลังรถเพื่อไปเอาถุงมาไว้หลังรถ เขาคิดว่า ท่านน่าจะหยิบส่งมาให้เขาก็ได้ แต่ท่านไม่ยอมทำ ท่านลืมไปว่าเราต่างเป็นข้าราชการ มีเกียรติและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เห็นรถชนกันมีคนตาย แทนที่จะช่วยแต่กลับมาเรียกให้เขาไปช่วย นิสัยแย่แบบนี้ท่านนำมาใช้กับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมเด็ดขาด เขาคิดในใจ
สักครู่ ดร.ทองเพิ่ม ใส่ชุดแบบทหาร สวมรองเท้าบู๊ตสีดำขัดเป็นมันวับ กลับมาเรียกและเดินตรงเข้ามาหาเขาเลย
“ไป..สมเกียรติ…ไป ด้วยกัน” ดร.ทองเพิ่ม พูดทำนองสั่ง
“ไม่… ผมไม่ไปหรอก” เขาปฏิเสธ และเน้นว่า “ท่านรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นคนอย่างไร เมื่อผมบอกว่า “ไม่” มันมีความหมายเดียว คือ “ไม่” “ทำอย่างไรผมก็ไม่ไป” เขาขัดขืนในขณะที่ ดร.ทองเพิ่มจับข้อมือเขาไว้และพยายามจะพาเขาไปด้วยให้ได้และสำทับว่า
“สมเกียรติต้องไป”
สมเกียรติร้องลั่น “ไม่…ไม่ไป… ขยม มึน โตว” เขาร้องด้วยภาษาไทยและภาษาเขมร
เสียงคงดังมากจนทำให้น้าเหลืองถามว่า “อาจารย์ไม่ไปไหนครับ” คำถามของน้าเหลืองทำให้เขาตกใจตื่น และรู้ว่าเป็นความฝัน เขาตอบน้าเหลืองว่า “เปล่าครับ”
รถแท็กซี่ยังคงวิ่งต่อไปด้วยความเร็วปกติ ในความมืดหากสามารถมองเห็นได้ จะเห็นว่าสีหน้าของครูสมเกียรติขาวซีดปราศจากสีเลือด ตัวสั่น เหงื่อกาฬไหลเต็มหน้าทั้งๆที่แอร์รถยนต์เย็นเฉียบ เขาตกใจและกลัวมาก เขาไม่เคยฝันเป็นเรื่องเป็นราวอย่างนี้มาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปความกลัวของเขาก็ค่อยๆคลายลง “มันเป็นแค่ความฝัน” เขาคิดปลอบใจตัวเอง
เมื่อท้องฟ้าแจ้ง รถแท็กซี่ก็วิ่งมาถึงปอยเปตพอดี น้าเหลืองส่งเขาที่ท่าจอดรถ เปิดท้ายรถเพื่อนำสัมภาระมาให้ และสังเกตเห็นข้อมือของเขามีรอยช้ำ อดถามไม่ได้ว่า“ข้อมือไปโดนอะไรมาครับ อาจารย์”
ครูสมเกียรติเหลือบสายตาดูที่ข้อมือ เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า มีรอยสีแดงคล้ำ เขาตกใจ หน้าซีด เข่าอ่อนอุทานเบาๆ“รอยมือ ดร.ทองเพิ่ม !”ก่อนที่จะเป็นลมฟุบลง น้าเหลืองต้องเข้าประคองพาเขาไปนั่งที่ฟุตบาท เอายาให้ดม
เมื่อรู้สึกตัว น้าเหลืองถามว่า “อาจารย์ไหวไหม” เขาตอบว่า “พอได้ครับ ไม่ต้องห่วง ขอบคุณมากครับ” แล้วน้าเหลืองจึงรีบไปบริการผู้โดยสารอื่นของเขาต่อไป
ครูสมเกียรตินั่งอยู่ที่ฟุตบาทพักใหญ่ เขาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แรกที่เดียวเขาคิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน แต่รอยแดงคล้ำที่ข้อมือนั้น ทำให้เขาแน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริง อดีตผู้อำนวยการซึ่งเสียชีวิตไปแล้วมาตามตัวเขา แต่เพราะเขาเป็นคนดื้อ จึงรอดมาได้
ใช่ …เขาซ่อนยิ้มอยู่ในหน้าอย่างภาคภูมิใจ ดื้อให้ถูกเวลาก็เอาตัวรอดได้

 

 

 

 

tongperm

 

Comments are closed.