เรื่องสั้น หัวใจเปื้อนชอล์ก ตอน ท่องยมโลก (ผีปอบ มรภ. เข้าสิง)

pob

จิปาถะ

เรื่องสั้น หัวใจเปื้อนชอล์ก ตอน ท่องยมโลก (ผีปอบ มรภ. เข้าสิง)
ป่าไม้เบญจพรรณที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นบนเนินเขาเตี้ยๆ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากทางหลวงหมายเลข 219 ไม่มากนัก มีทางลูกรังสำหรับรถขนาดเล็กวิ่งผ่านขึ้นไปได้ ถึงแม้จะมีหลุมบ่อบ้างบางช่วง แต่ก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้แก่ผู้เดินทางขึ้นไปบนเนินเขาแต่อย่างใด ณ ที่นั้นมีศาลาร้าง ซึ่ง ชีปะขาว ไม่ทราบว่ามาจากไหนได้มาพักอาศัยอยู่ชั่วคราวหลายวันแล้ว
รถตู้ของหน่วยราชการใหม่เอี่ยมวิ่งตัดฝุ่นขึ้นไปบนเนินเขาอย่างรีบร้อน วิ่งมาหยุดเมื่อถึงบริเวณลานกว้างหน้าศาลาร้าง คนขับรถรีบลงมาเลื่อนประตู ผู้ที่ลงมาจากรถก่อนเป็นสุภาพสตรีรูปร่างผอมบาง
จากนั้นคนขับได้เข้าไปในรถ ยกรถเข็นสำหรับนั่งมาเตรียมไว้ เพื่อรับแม่ที่ต้องใช้รถเข็น สุภาพสตรีและเพื่อนหญิงที่มาด้วยกำลังช่วยพยุงให้แม่ลงจากรถ ในขณะที่คนขับรถขยับรถเข็นเข้าไปรับ ซึ่งกว่าจะจัดการเรื่องนี้ได้ก็ทุลักทุเลพอสมควรทีเดียว
สุภาพสตรีทั้งสองยืนอยู่ด้านหลังของรถเข็นที่แม่นั่งรออยู่ที่ข้างศาลา โดยมีคนขับรถช่วยกางร่มกอล์ฟให้ บนศาลาท่านชีปะขาว ซึ่งสวมชุดขาวกำลังนั่งหลับตาบริกรรมคาถา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราและผมสีขาวโพนที่ขมวดไว้เป็นจุกกลมกลางศีรษะสามารถสร้างความความศักดิ์สิทธิ์ได้พอสมควร ด้านหน้าของท่านเป็นโถน้ำ เข้าใจว่าท่านกำลังปลุกเสกน้ำมนตร์ สักครู่ท่านลืมตาขึ้น พร้อมกับเอ่ยว่า
“มาธุระเรื่องอะไรกันล่ะ”
“เขาว่ากันว่าท่านมีเมตตา ก็อยากจะมาขอความช่วยเหลือค่ะ ” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น
“ช่วยเหลือเรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องลูกสาวป่วย เจ้าค่ะ”
“ได้” ชีปะขาว ตอบและกล่าวต่อไปว่า “มีอะไรก็ว่ามา”
“เรื่องมีอยู่ว่า อยู่ดีๆลูกสาวก็นอนหลับไปและไม่ยอมตื่น ประมาณ 2 วันถึง 3 วันจึงจะตื่นขึ้นมาสักครั้ง ตื่นแล้วก็มักจะเล่าเรื่องราวต่างๆไปตามเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเมืองนรก คราวที่แล้วก็เล่าเรื่องนางบูเซ็กเทียน และมีอาการเพี้ยน หรือบางครั้งจำความอะไรไม่ได้เลย เช่นบอกว่าตัวเองเพิ่งอายุ 17 ปี เป็นต้น”
“แล้วตอนนี้อายุเท่าไรแล้วล่ะ”
“ก็ปีมะโรง ย่างเข้า 62 แล้วเจ้าค่ะ แต่ก็ยังว่าตัวเองอายุ 17 อยู่”
“ก็แปลกอยู่ แล้วอาการอื่นๆมีอะไรอีกล่ะ”
“ก็มีเรื่องกิน คือชอบกินอาหารสุกๆดิบๆ เช่น ตับไก่ ตับหมู กินจุผิดปกติ และกินมูมมาม ซึ่งแต่ก่อนไม่ได้เป็นอย่างนี้”
“ใช่แล้ว” ชีปะขาวอุทาน
“ใช่อะไรเจ้าคะ” คุณแม่ร้องถาม
“ปอบเข้า”
“ปอบอะไรเจ้าคะ”
“อ๋อ ปอบคือผีชนิดหนึ่งซึ่งกล่าวกันว่า พวกที่ชอบเล่นแร่แปรธาตุและผิดครูเลยกลายเป็นปอบ มักจะเข้าสิงคนโลภ คนโหดร้าย คนขาดเมตตาธรรม เมื่อเข้าสิงแล้ว จะมีอาการดังที่ว่ามา”
ท่านชีปะขาวอธิบายต่อไปว่า “ผีปอบมีหลายประเภท เช่น 1)“ผีปอบธรรมดา” หมายถึง คนที่ปอบสิงอยู่และจะตายไปพร้อมกัน 2) “ผีปอบเชื้อ” หรือผีปอบกรรมพันธ์ ถ้าคนในครอบครัวเคยเป็นก็จะเป็นต่อเนื่องกัน 3) “ผีปอบแลกหน้า” หมายถึง ปอบเจ้าเล่ห์ที่ถนัดเอาความผิดไปโยนให้คนอื่น และ 4) “ผีปอบกักกึก” (กึก ภาษาอีสานแปลว่า “ใบ้”) หมายถึง ผีปอบที่ไม่ยอมพูดจาเป็นประเภทบ้าใบ้ ส่วนผีปอบที่เข้าสิงลูกของแม่นี่ เป็นผีปอบรุ่นใหม่ ไม่อยู่ในสารบบ ชื่อ ปอบ “มรภ” เจ้าปอบตัวนี้แก่แล้ว ไม่เจียมตัว แต่ยังร้ายอยู่ ดูจะไล่ออกไปยากสักหน่อย”
“จะมีวิธีรักษาอย่างไรเจ้าคะ” คุณแม่ถาม
“การรักษาคนที่ผีปอบเข้า มีอยู่หลายวิธี เช่น เอาพริกแห้งมาเผา แล้วรมควันจนคนป่วยสำลักควันน้ำตาไหล เพื่อให้ผีปอบออกจากร่างผู้ป่วยไป
แต่ที่หมอผีทั่วไปชอบไล่ผีปอบโดยการเฆี่ยนด้วยหวาย แต่การเฆี่ยนก็เท่ากับการเฆี่ยนคนป่วยไปด้วย และถ้าผีปอบขัดขืน หมอผีก็จะต้องเฆี่ยนหนักขึ้น จนกระทั่งเนื้อตัวเขียวช้ำด้วยรอยหวาย แต่เมื่อผีปอบยอมแพ้ออกจากร่างไป รอยหวายก็จะจางหายไป แต่วิธีนี้อันตรายเป็นการทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฏหมาย
อีกวิธีหนึ่งที่เบากว่านี้หน่อย ขับไล่โดยนำสัตว์ที่น่ากลัว เช่น คางคก ตุ๊กแก งู มาข่มขู่ ผีปอบให้กลัว แต่วิธีนี้ดีไม่ดี ถ้าคนป่วยกลัวสัตว์เหล่านี้ ก็อาจช็อกตายไปได้ นอกจากนั้นก็มีวิธีรักษาอย่างอื่นอีก ก็ขึ้นอยู่กับหมอผี”
“ท่านชีปะขาวคิดว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
“คุณแม่ต้องพิจารณาเอาเองว่าจะรักษาอย่างไร สิ่งที่จะบอกให้ก็คือ 1) รักษาทางไสยศาสตร์ ก็ไปหาหมอผี หรือ2) รักษาทางพุทธศาสตร์ ก็ไปหาพระ ทางออกก็มีอยู่เท่านั้น”
พูดจบท่านชีปะขาวก็หลับตา นั่งสงบนิ่งบริกรรมคาถาต่อไป
……….

Comments are closed.