หัวใจเปื้อนชอล์ก ตอน ผีเสื้อน้อย

buterfile

หัวใจเปื้อนชอล์ก ตอน ผีเสื้อน้อย

1

วันหนึ่ง มิสเตอร์ สมิธ นีด  ป่วยกระทันหัน แต่ไม่หนักถึงกับต้องพาไปหาหมอ จึงเพียงแต่ให้นอนพักผ่อน ถ้าดีขึ้นก็โอเค แต่ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยว่ากันใหม่ ข้อตกลงทั้งหมดนี้เป็นความประสงค์ของ สมิธ

ผมรายงานเรื่องนี้กับครูให­ญ่ ท่านมอบหมายให้เป็นธุระซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องปฏิบัติอยู่แล้ว เราอยู่ด้วยกัน เป็นเพื่อนสนิทกัน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะต้องดูแลกัน ยิ่ง สมิธ เป็นชาวต่างชาติ อยู่ไกลจาก­ญาติพี่น้อง เวลาเจ็บป่วยจึงน่าสงสาร เพราะไม่มีญ­าติพี่น้องคอยดูแล “ก็เพื่อนนี่แหละ คือความหวังของเพื่อน”

ก่อนออกไปทำงาน ผมเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ สมิธ   ตอนกลางวันเมื่อสอนเสร็จผมซื้ออาหารมาให้ ขึ้นไปบนบ้าน เคาะประตูห้องซึ่งเปิดอยู่  เสียงตอบ“เยส” ผมจึงเดินเข้าไป ห้องของ สมิธ มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องของผม คือมีเตียงและโต๊ะข้างเตียงสำหรับวางสิ่งของเครื่องใช้

ขณะที่ผมเข้าไปในห้องนั้น สมิธ นอนอยู่บนเตียงดูเหมือนเพิ่งตื่น  อาการป่วยยังไม่มีที่ท่าว่าจะดีขึ้น

“เป็นอย่างไรบ้าง สมิธ”  ผมถามอาการ

“รู้สึกอึดอัด หายใจไม่สะดวก ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว” สมิธ อธิบาย

“จะไปหาหมอไหม?”  ผมถามด้วยความรู้สึกวิตกกังวล

“ยังครับ ขอดูอาการอีกสักนิด ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยว่ากัน” สมิธ ยืนยัน

ผมเลื่อนเก้าอี้มานั่ง   มองไปรอบๆห้อง ที่โต๊ะข้างเตียง ผมเห็นแก้วน้ำคว่ำอยู่บนตะแกรงพลาสติก ภายในมีผีเสื้อน้อยแสนสวยสีเหลืองทองบินขึ้นๆลงๆอยู่ในระหว่างก้นแก้วกับปากแก้ว คงจะบินหาทางออกมาเป็นเวลานานจนอ่อนล้า ด้วยความหวังที่จะเป็นอิสระอย่างอดทน

ผมนั่งนิ่งมองดูผีเสื้อบินขึ้น-ลงอยู่อย่างหดหู่ใจ นึกตำหนิ สมิธ อยู่ในใจ สุดท้ายผมตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า

“สมิธ ผมอยากจะขออะไรคุณสักอย่างหนึ่ง”

“เรื่องอะไรรึ”  สมิธ ถาม  เหลือบสายตามองมาที่ผม

“ผมอยากให้คุณปล่อยผีเสื้อในแก้ว”

“โอ้ มายก็อด !” สมิธ อุทาน “ผมลืมผีเสื้อไปสนิทเลย”

เขาเอี้ยวตัวเอื้อมมือเพื่อจะปล่อยผีเสื้อ

ผมรีบบอก สมิธ ว่า “ก่อนจะปล่อยผีเสื้อให้อธิฐานด้วย”

สมิธ หลับตาพนมมือทำปากขมุบขมิบเลียนแบบที่เคยเห็นผมทำ  จากนั้นเอื้อมมือไปยกแก้วน้ำขึ้น ผีเสื้อน้อยรีบบินออกจากแก้วน้ำอย่างรวดเร็ว  บินวนไปวนมาสองสามรอบแล้วบินออกทางหน้าต่างไป  ผมสังเกตเห็นสีหน้าของ สมิธ สดใสขึ้น

“ผมเสียใจจริงๆ” สมิธ สารภาพ

“ เมื่อตอนสายๆ  มีผีเสื้อบินมาเกาะที่ตะแกรงพลาสติก ผมเห็นว่าสวยดี จึงเอาแก้วครอบไว้

คิดว่าดูแล้วก็จะปล่อยไป แต่แย่จริงๆ ผมลืมผีเสื้อไปสนิท โชคดีนะที่มันยังไม่ตาย ขอบคุณมากที่บอกผม” เขาอธิบายด้วยเสียงแหบแห้ง

“ช่างเถอะ”  ผมปลอบเขา และพูดเป็นปรัช­ญาว่า “การให้ชีวิตเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่­่”

สมิธ นิ่งฟัง

ผมติดลมคุยต่อ “คนไทยเชื่อว่า การปล่อยนกปล่อยปลาหรือการไถ่ชีวิตโคกระบือ ถือเป็นการทำบุ­ญหรือการทำคุณงามความดี  จะทำให้ชีวิตประสบแต่ความสุขความเจริ­ญ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เป็นมงคล” สมิธ แสดงทีท่าว่าเข้าใจ

ผมรออยู่จน สมิธ รับประทานอาหารเสร็จ เขาทานอาหารได้น้อย อาการยังน่าเป็นห่วง

“ต้องการอะไรอีกไหม”  ผมถามในขณะที่วุ่นอยู่กับการเก็บสิ่งของต่างๆให้เรียบร้อย

“ไม่ครับ ขอบคุณมาก สมิธ พูดเบาๆ

สมิธ มองผมด้วยสายตาละห้อย เมื่อผมบอกว่าจะไปทำงาน  ตอนเย็นจะรีบกลับมา

2

ก่อนโรงเรียนเลิก เสียงแตรวงบรรเลงเพลงมาร์ทดังกระหึ่มอย่างมีพลัง การฝึกซ้อมเดินแถวของนักเรียนให้พร้อมเพียงกันเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมงานแข่งขันกีฬาประจำปีนักเรียน ที่จะจัดขึ้นที่หน้าอำเภอ ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้ นักเรียนจะซ้อมไปเรื่อยๆตั้งแต่บ่ายสามโมงไปจนถึงสี่โมงครึ่ง  กิจกรรมแบบนี้เป็นที่ชื่นชอบของนักเรียนมากกว่าการนั่งฟังครูบรรยายในห้อง  ผมไม่ได้ร่วมกิจกรรมนี้ แต่รีบกลับบ้านพักเพื่อดู สมิธ คิดในใจว่าอาจต้องพาเขาไปหาหมอ

“ไฮ !สมิธ” ผมส่งเสียงทักทายเมื่อเดินขึ้นบันไดบ้าน

“ไฮ ! สังคม”  เสียง สมิธ ตะโกนตอบมาจากห้องโถง และโผล่หน้ามาดูผมทางหน้าต่าง

“เอ้า !  คุณหายแล้วหรือ?”  ผมรู้สึกแปลกใจ ที่เห็นสมิธหายเป็นปกติ

“ใช่  ผมหายดีแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าหลังจากที่คุณออกไปแล้ว ผมก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อตื่นขึ้นมา  ไม่ปรากฏอาการเจ็บป่วยอีกเลย ”

สมิธ ทำท่าทางฉงนสนเท่ห์กับสิ่งที่เกิดขึ้น “ผมไม่เข้าใจจริงๆว่า เรื่องนี้มันเป็นไปได้อย่างไรกัน”

“ดีแล้ว หายก็ดีแล้ว” ผมสรุป

ผมและสมิธ นั่งคุยกันอย่างออกรสถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ตอนหนึ่ง สมิธ เล่าให้ผมฟังว่า

“สมัยเด็กๆผมเคยป่วย  ตอนนั้นผมมีพ่อ แม่ พี่น้องคอยดูแลเอาใจใส่ ผมยังจำได้ถึงมือที่อบอุ่นของแม่ที่ผมนำมากุมไว้นั้น มันช่างมีพลังจริงๆ มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และเป็นสุข”

สมิธ  ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนที่จะเล่าต่อไปว่า

“แต่ที่นี่ ประเทศไทย นอกจากผมมีเพื่อนที่ดีแล้ว ดูเหมือนว่ามันมีพลังความศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ผมไม่เข้าใจ แต่มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยและเป็นสุข”

ลมเย็นโชยเข้ามาทางหน้าต่าง ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดฝันได้ปรากฏขึ้น ผีเสื้อน้อยสีเหลืองทองฝูงหนึ่ง บินเข้ามาในบ้าน มีตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ปลายแขนเสื้อของสมิธ จากนั้นบินวนไปวนมารอบๆห้อง  สักครู่ก็บินออกทางหน้าต่างไป

ผมและสมิธ มองตามผีเสื้อน้อยสีทองฝูงนั้นบินออกทางหน้าต่างๆไปอย่างมีความสุข

เรามองหน้าและยิ้มให้กัน

ผมกระซิบกับหัวใจตนเอง “มันช่างเป็นความงดงามของสรรพชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและปีติปราโมช”

ส่วน สมิธ อุทานออกมาว่า “วัน เดอะฟุล”

………