ฟ้ารู้ ดินรู้ แกรู้ และข้ารู้

heaven 1

จิปาถะ

ฟ้ารู้ ดินรู้ แกรู้ และข้ารู้

ในคัมภีร์พระเวทมีการบรรยายกำเนิดของจักรวาลว่า “มีเสามาแบ่งแยกสวรรค์และโลกออกจากกัน แต่เดิมนั้นโลกและสวรรค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต่อมาภายหลัง เสาแกนโลกมาตัดให้ขาดออกจากกัน ถ้าจะเปรียบเทียบเสาแกนนี้ก็เหมือนลำแสงพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ในความมืดแห่งราตรีกาลเราไม่สามารถแยกท้องฟ้าออกจากผืนดิน หากเมื่อพระอาทิตย์ฉายลำแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ ลำแสงนั้นเปรียบเหมือนเสาแกนที่มาตัดแบ่งแยกท้องฟ้าและผืนดินออกจากกัน เสาแกนนี้ถูกตั้งขึ้นในตอนเช้าและถอนเก็บในตอนเย็นเป็นประจำ”(เอเตรียน สนอตกราส.159) เป็นผลให้โลกเกิดมีกลางวันและกลางคืน
กลางวัน ลำแสงพระอาทิตย์เปิดท้องฟ้าให้สว่างไสว มนุษย์สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจน กิจกรรมที่เกิดขึ้นจึงมีลักษณะโปร่งใส สะอาด
ส่วนกลางคืน ลำแสงอาทิตย์ได้ถูกถอดเก็บ จากนั้นความมืดก็จะเข้ามาปกคลุม กิจกรรมที่มนุษย์ทำจึงมักเป็นเรื่องลึกลับ อันทำให้เกิดสำนวนจีนที่ว่า “ปฏิบัติการกลางคืน” ซึ่งบงบอกได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล เช่นการติดสินบน การฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้มักจะทำกันในที่ลับ หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ใต้โต๊ะ

“ปฏิบัติการกลางคืน” เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงค์ฮั่น มีขุนนางที่ซื่อสัตย์ท่านหนึ่งชื่อว่า เอี้ยงเจิ้น ขณะที่ท่านเดินทางไปรับตำแหน่งใหม่ที่จังหวัดตงไหล ท่านได้แวะที่อำเภอซางอี้ ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดตงไหล ซึ่งขณะนั้น อ๋วงมี่ ซึ่งเคยได้รับการสนับสนุนจาก เอี้ยงเจิ้น เป็นนายอำเภอ
เมื่อทราบข่าวว่า เอี้ยงเจิ้น มาอำเภอนี้ อ๋วงมี่ได้ต้องรับอย่างเอิกเกริก ตกค่ำได้เดินทางไปเยี่ยมคารวะเป็นการส่วนตัว และได้นำทองคำหนัง 10 ชั่งไปให้ เป็นของขวัญ เอี้ยงเจิ้น ด้วย
เอี้ยงเจิ้น ปฏิเสธของขวัญของ อ๋วงมี่ อย่างไม่ใยดี แถมตะคอกใส่ อ๋วงมี่ ว่า
“ข้ารู้จักตัวแกดี แต่ทำไมแกถึงไม่รู้จักตัวข้าเอาเสียเลย”
อ๋วงมี่ ยังนึกว่า เอี้ยงเจิ้น พูดไปอย่างนั้นเอง ทองหนักตั้ง 10 ชั่ง ทำไมจะไม่อยากได้ แต่เกรงว่าคนอื่นจะรู้ จึงกล่าวคะยั้นคะยอว่า
“ท่านรับไว้เถอะครับ ไม่มีใครรู้ใครเห็นหรอก เพราะนี่ก็มืดค่ำแล้ว”
เอี้ยงเจิ้น โมโหสุดขีด ตวาด อ๋วงมี่ ด้วยเสียงอันดังว่า
“แกรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีใครรู้ใครเห็น อย่างน้อย ฟ้ารู้ ดินรู้ แกรู้ และข้ารู้” (ส.สุวรรณ.92)
อ๋วงมี่ รู้สึกอาย รีบหอบทองเผ่นกลับบ้านแทบไม่ทัน
ส่วนบ้านเราเหนือชั้นกว่านี้มาก เพราะให้กันแบบต่อหน้าต่อตาเลย ฟ้า ดิน ไม่สน ใครจะทำไม
………….
อ้างอิง
ส.สุวรรณ.(2541).สำนวนจีน.พิมพ์ครั้งที่ 3 .กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิราบ.
เอเตรียน สนอตกราส.(2537).สัญลักษณ์แห่งพระสถูป.กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

Comments are closed.