จิปาถะ เรื่องสั้น เหตุเกิดที่สารขัณฑ์  (นานเกินไป)

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม  2565                                                                                                 

จิปาถะ เรื่องสั้น เหตุเกิดที่สารขัณฑ์  (นานเกินไป) 

31

บ้านผมอยู่บ้านแหลม ริมฝั่งแม่น้ำเพชร เมืองพริบพรี ในสมัยอยุธยาเป็นอาณาจักรและมีกษัตริย์ปกครองเชียวนะจะบอกให้ ตอนสมัยเป็นเด็ก ช่วงบ่ายแดดอ่อนๆผมชอบไปนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นลำพู ที่รากอากาศของมันโผล่ขึ้นมาสูงบ้างต่ำบ้างราวกับธูปปักอยู่ในกระถาง  ผมขว้างก้อนดินลงไปที่ชายฝั่งแม่น้ำสีดินทรายที่ไหลเอื่อยๆเนิบนาบอ่อนล้า จากแก่งกระจาน ผ่านเมืองพริบพรี ผ่านบ้านผมไปออกปากอ่าวที่เป็นดินโคลน ไม่มีหาดทราย  แถวบ้านนางแต้มโน่น น้ำตรงนั้นเค็มตลอดปี เป็นเหตุให้  ใจนางแต้มเค็มปิ๊ดปี๋

แม่น้ำบริเวณหน้าบ้านผม จะมีเรือลากจูงหรือเรือโยงแล่นขึ้นลงไปมาแทบจะไม่ขาดระยะ  เด็กๆว่ายน้ำจับเรือโยงกันอย่างสนุกสนาน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว น้ำสกปรกจนไม่มีใครกล้าลงไปอาบ

เมื่อโตขึ้นผมชอบไปเที่ยวทะเล ไปนั่งเล่นเดินเล่นตามชายหาดทราย ไม่ที่หาดชะอำ ก็หาดปึกเตียน หรือเลยไปหาดหัวหินโน่น ไปนั่งดูคลื่นที่ก่อตัวลูกใหญ่บ้างเล็กบ้าง วิ่งเข้าหาชายหาด ลูบไล้ลบรอยทรายที่ยุ่งเหยิงให้ราบเรียบ ทั้งนุ่มนวล อ่อนโยน รุนแรง เอาเป็นเอาตาย อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ฟองคลื่นสาดกระเซ็นกระทบแสงแดดขาววับยังกับเกล็ดน้ำแข็งไส ส่งเสียงคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดสำหรับคนเศร้า แต่สุดเริงร่า รุนแรง เร่าร้อยสำหรับวัยรุ่นคะนอง มันเป็นความรู้สึกแตกต่างที่งดงามสามารถสัมผัสได้ และจากนั้นก็ค่อยจางหายไปเมื่อลมสงบ

ภาพคลื่นกระทบฝั่งนี้ช่างเหมือน ความเห็นของ ผศ.ดร.La Ph ที่นำมาจากข่าวหนังสือพิมพที่ว่า “ปัญหาธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะเรื่องของ ‘สภาเกาหลัง’ ซึ่งหมายถึง สภามหาวิทยาลัยกับผู้บริหาร ไม่ได้ตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน แต่กลายเป็นพวกเดียวกัน ส่งผลต่อการร้องเรียนความไม่โปร่งใสในการบริหารมหาวิทยาลัย สุดท้ายเรื่องต่างๆก็เงียบหายไปหมด”

ช่างเหมือนภาพคลื่นกระทบฝั่ง ที่บรรยายไว้ “ที่สุดท้ายเรื่องต่างๆก็เงียบหายไปหมด” แต่หารู้ไม่ว่า ลักษณะของสภาเกาหลังและไม่มีใครใส่ใจนี้ ไม่ใช่คลื่นกระทบฝั่งธรรมดา เพราะน้ำที่ชายหาดถูกดึงกลับไปสู่ทะเลลึกอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความว่า คลื่นที่จะกลับมาสู่ฝั่งอีกครั้งนั้น เป็นคลื่นขนาดใหญ่มาก ที่สามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้พังพินาศลงได้

ฉะนั้น สภาเกาหลังในสถาบันอุดมศึกษา คือ ความหายนะ ความน่าขยะแขยง น่าเกลียดน่ากลัว กักขฬะ เลวระยำตำบอน หน้าด้านหน้าทน ชั่วช้าสามานย์ เป็นความหายนะ ที่สามารถสัมผัสความฉิบหายวายป่วง นี้ได้แทบจะทุกแห่ง โดยเฉพาะที่ ม.สารขัณฑ์ ทั้งนางแต้ม บริวารและสภามหาวิทยาลัย กำลังทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้พังพินาศลง

จน ผศ.ดร.ชลิดา ภัทรศรีจิรากุล ถึงกับรู้สึกเอือมระอา บอกว่า “ขอให้หมดเวรหมดกรรมต่อกัน 10 ปีนานเกินไป ไปขายขนมครก ยังได้กินของอร่อย”

“ไม่ใช่ท่านครกระยำ! ที่ ม.กำแพงมณีนะครับ มันเป็นขนมครก”

….

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *