วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565
จิปาถะ เรื่องสั้น เหตุเกิดที่สารขัณฑ์ (ใครได้เปรียบ)
30
วันนี้ ผศ.ดร.La Ph บอกว่า “แม้จะมีการสรรหานายกสภาและกรรมการสภา แต่ใครๆก็รู้ว่าที่มาของคณะกรรมการสภาสารขัณฑ์เป็นอย่างไร ใครสั่งการ ดังนั้นจึงได้แต่คนที่มีศีล??เสมอกัน จึงไม่แปลกใจเลยว่า “ทำไมจึงคิด พูด ทำ เหมือนกันราวกับเป็นคนๆเดียวกัน” น่าจะมีความผูกพันรักใคร่และสนิทสนมกลมเกลียวยิ่งกว่า คำว่า “สภาเกาหลัง” เสียอีก 55555”
คม หักศอก : จะมีความผูกพันรักใคร่และสนิทสนมกลมเกลียวกันเป็นสภาเกาหลัง เกาหัว เกาหูหรือเกาอะไรกันก็แล้วแต่พวกเขาเถอะ เดี๋ยวก็ติดคุก
เรื่องนี้ ผศ.ดร. ชลิดา ภัทรศรีจิรากุล บอกว่า“ความรู้ไม่เท่ามีสติ เมื่อมีสติ ปัญญาจะเกิด ทุกเรื่องก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ถ้าขาดสติ…ทุกอย่างพัง” และตอนนี้สภามหาวิทยาลัยสารขัณฑ์ขาดสติ ต้องการแต่สตางค์ “ทุกอย่างกำลังจะพัง” เพราะท่านปัญเจริญหยุดไม่อยู่ ทุ่มสุดตัว เป็นโจทก์ฟ้องนายสุชี๋ นายกสภาและพวกรวมกันกว่า 25 คน เป็นจำเลย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมืองประทายสมันต์ และคดีนี้ ศาลได้นัดฟังศาลฏีกา ซึ่งศาลส่งใบนัดทางไปรษณีตอบรับ ใบนัดราวกลางเดือนมิถุนายน 2565 ที่จะถึงนี้ ส่วนวันที่เท่าไร คม หักศอก บอกว่าจำไม่ได้ และไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาจะต้องทำอะไรกันบ้าง แต่เดาเอาว่า ทั้งโจทก์และจำเลยเมื่อได้รับใบนัดของศาลให้ไปฟังคำสั่งศาลฏีกา “ก็ต้องไป” ฝ่ายโจทก์ก็คงจะไม่ลำบากอะไรเพราะอยู่ใกล้ คงมีเพื่อนไปให้กำลังใจสักคนสองคน ถ้าไม่มีก็เอาสติเป็นเพื่อนแล้วกัน ส่วนค่ารถก็จ่ายเองนะ
ส่วนฝ่ายจำเลยก็อาจจะต่างคนต่างไป หรือยกโขยงกันไปเป็นทีม รถบัส 1 คันพอดี อาจมีผู้ติดตามไปด้วย งานนี้อาจจะถือว่าไปราชการ เบิกค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าพาหนะเดินทางได้ตามสิทธิ์ ฉันว่าอาจจะนะ” คม หักศอก ออกตัว)
เอ้า! แบบนี้ฝ่ายโจทก์ก็เสียเปรียบซิ มีนา จัน ร้อง “โจทก์ต้องจ่ายเงินตัวเองทุกอย่างทั้งค่าพาหนะเดินทาง ค่าทนาย สารพัด ส่วนฝ่ายจำเลยสบาบ ใช้เงินหลวง”
“แต่ฉันว่าฝ่ายโจทก์ได้เปรียบนะ” คม หักศอก ค้าน
“ได้เปรียบอย่างไร?” มีนา จัน ทำหน้างง
“คดีนี้ ถ้าศาลฏีกาไม่รับฟ้อง ทั้งสองฝ่ายก็เลิกรากันไป แต่ถ้าศาลฏีการับฟ้อง ฝ่ายจำเลยติดคุกแหงแก๋
เห็นไหมล่ะ ใครได้เปรียบ!
…