ถ่ายหนังที่อยุธยา

ถ่ายหนังที่อยุธยา  การขายมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหยาบคาย

คอลัมภ์ “ใจถึงสื่อ” ผู้อ่านถามมา คนมติชน ตอบไป
มติชนรายวัน วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 : 10

เมื่อคืนวันที่ 30 มกราคม 2540 ผมได้เข้าไปยังกองถ่ายทำภาพยนตร์ของบริษัท เอาต์ เวิลด์ โปรดักชั่น ที่ตั้งกองถ่ายอยู่หน้าบริเวณองค์พระมหาธาตุเจดีย์ ในวัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปรากฏว่าบริเวณดังกล่าว มีอุปกรณ์เกี่ยวกับการถ่ายทำภาพยนตร์มากมาย ก่ายกอง ส่วนข้างวัดทางด้านทิศใต้ ก็เต็มไปด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์ขนาดหนักและสัมภาระเป็นจำนวนมาก เห็นแล้วก็ตกใจ เกิดคำถามขึ้นว่าทำไมกรมศิลปากรถึงได้ใจกล้าอนุญาตให้บริษัทดังกล่าวทำอย่างนี้ เพราะเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปแล้วว่า การให้รถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งเข้าไปใกล้โบราณสถานนั้นเป็นอันตรายต่อโบราณสถานเป็นอย่างยิ่ง
และยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อเข้าไปดูการแสดงซึ่งแสดงกันอยู่บนองค์พระมหาธาตุเจดีย์ เห็นแล้วเกิดความรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมากน้ำตาไหลออกมาคลอเบ้า จนต้องเบือนหน้าหนีเหตุที่ต้องเบือนหน้าหนีก็เพราะว่า บริเวณที่เหล่านักแสดงกำลังแสดงบทบาทอยู่นั้น คือส่วนบนสุดขององค์พระมหาธาตุเจดีย์ ซึ่งเคยเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อันเป็นวัตถุมงคลและศักดิ์สิทธิ์ ของพุทธศาสนิกชน ทั่วไป เกิดความงุนงงที่มีการปล่อยให้ย่ำยีศาสนสถานกันได้ถึงเพียงนี้

ผมทนดูอีกต่อไปไม่ได้ก็เลยเลี่ยงออกไป จิตใจมีแต่ความสับสน ว้าวุ่น เศร้าหมองและเจ็บปวด อดคิดไม่ได้ว่าเราได้มอบสมบัติทางวัฒนธรรมอันเต็มไปด้วยคุณค่าให้แก่คนผิดเสียแล้ว ลำพังเรื่องจ้างเหมาให้ขุดแต่งโบราณสถานซึ่งเป็นสมบัติของชาติของแผ่นดิน ทำให้ศิลปวัตถุเสียหายและตกไปอยู่ในมือของพวกมิจฉาชีพเป็นจำนวนมาก หรือการซ่อมโบราณสถานผิดๆถูกๆ โดยไม่คำนึงถึงหลักฐานก็พอทำเนา แต่การเอาโบราณสถาน โดยเฉพาะศาสนสถานมาใช้อย่างขาดความเคารพและย่ำยีอย่างนี้ ผมรับไม่ได้จริงๆและยิ่งได้ยินคำพูดของ รศ.ประทีป ชุมพล อาจารย์ประจำคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และหัวหน้าฝ่ายดูแลการถ่ายทำภาพยนตร์เกี่ยวกับโบราณสถาน กรมศิลปากร ที่กล่าวว่า “ มรดกคือสิ่งที่ขายได้ งานชนิดนี้เป็นงานศิลปะเป็นงานประชาสัมพันธ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่ได้เป็นการย่ำยีแต่อย่างใด”

ขายมรดกทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณกันได้เสียแล้ว จะยังมีอะไรเหลือ

ตอบคุณวิสุทธิ์

ปกติของ “คนมติชน” อย่างผมเป็นคนใจกว้าง แต่ถ้าได้ไปเห็นภาพอย่างคุณ ความรู้สึกและอารมณ์อันเนื่องด้วยวัฒนธรรมอาจจะเกิดขึ้นอย่างคุณก็ได้
ท่านสุนทรภู่เกิดความรู้สึกขัดเคืองใจมาแล้วที่ได้เห็นซากปรักหักพังของอยุธยาในนิราศภูเขาทอง
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก
ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย
นี่อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
ยกนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่ไม่ได้หมายใจให้เป็นศัตรูกับพม่าหรอกนะ ท่านทูตเมียนหม่าทราบไว้ด้วย
ผมว่าเราเอาทางพระเข้าข่มไว้ดีกว่าครับ สรรพสิ่งในโลกเกิดขึ้นมาแล้วพัฒนาไปสู่ความเสื่อมโทรมทั้งนั้น อุปาทานขันธ์ ความยึดมั่นถือมั่นเป็นทุกข์
ถ้าขยายความตามสำนวนท่านพุทธทาสก็พูดว่า “การยึดมั่นถือว่ามันเป็นของกูมันหนักโว้ย พวกมึงไปแบกไว้ทำไม”