เรื่องสั้น : หัวใจเปื้อนชอล์ก ตอนไอ้บ้าวี

วันศุกร์ที่  7 เมษายน พ.ศ. 2566

เรื่องสั้น : หัวใจเปื้อนชอล์ก ตอนไอ้บ้าวี (21 สิงหาคม 2557 )

รถโดยสารหรือที่เรียกกันว่ารถคอกหมู ซึ่งก็คือรถบรรทุกที่ปรับแต่งให้เป็นรถโดยสาร มีหลังคาและมีที่นั่งข้างๆ เดินทางรับส่งผู้โดยสารจากจังหวัดบุรีรัมย์ปลายทางอำเภอนางรอง ออกจากท่ามาตั้งแต่แปดโมงเช้า วิ่งช้าๆมาตามถนนลูกรังที่มีหลุมบ่อเต็มไปหมดตลอดเส้นทาง คนขับรถต้องค่อยๆขับเพื่อหลบหลุมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่บางครั้งก็พลาดตกลงไปในหลุมไม่สามารถขึ้นมาได้ คนขับเร่งเครื่องจนล้อหลังหมุนติ้ว เครื่องยนต์ดังกระหึ่มลั่นแต่ก็ไม่สามารถขึ้นจากหลุมได้  ผู้โดยสารซึ่งมีผมกับทวีรวมอยู่ด้วย ก็ต้องลงจากรถ เพื่อรถจะได้เบาลง เด็กกระเป๋ารถหาก้อนหินมาถมที่หน้าล้อหลังรถเพื่อช่วยให้ล้อเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเข้าที่เข้าทางแล้ว ผู้โดยสารก็ต้องช่วยกันเข็นอีกแรงหนึ่ง จึงทำให้สามารถแล่นต่อไปได้  แต่อีกสักพักก็ตกหลุมอีก จากหลุมหนึ่งไปยังอีกหลุมหนึ่ง ก็ทุลักทุเลกันพอสมควร กว่าจะเดินทางมาถึงอำเภอนางรอง รถโดยสารจอดที่ท่ารถในตลาด ผมและทวีลงจากรถและนั่งสามล้อรับจ้างเข้าไปรายงานตัวกับ ครูใหญ่ที่โรงเรียน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เด็กกำลังเดินและขี่จักรยานออกจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน เพราะโรงเรียนเลิกพอดี ผมคิดในใจ แค่วันแรกที่ไปโรงเรียนครูกับนักเรียนก็สวนทางกันเสียแล้ว

 ผมชื่อ สังคม  คนนิยม อายุ 23  ปีเศษ รูปร่างล่ำสันสมส่วน ผิวเนื้อดำแดง  เป็นคนง่ายๆ แต่งกายสบายๆ ไม่พิถีพิถันกับชีวิตมากนัก นิสัยสุภาพอ่อนโยน รื่นเริงสนุกสนาน เป็นคนจังหวัดเพชรบุรี จบศิลปะ ส่วนทวี สะอาดจัง อายุ 22 ปี รูปร่างสูงโปร่งแข็งแรง  ผิวคล้ำ ในตาคมเข้ม แต่งกายสุภาพเรียบร้อย เจ้าระเบียบ พูดน้อย แต่มีเหตุมีผล เขาเป็นคนกรุงเทพมหานคร จบพละศึกษา ผมและทวีเพิ่งบรรจุมาสอนที่โรงเรียนอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์พร้อมกัน ผมสอนวิชาศิลปะ ส่วนทวีสอนวิชาพละ  และเนื่องจากโรงเรียนยังไม่มีบ้านพักครู ครูใหญ่จึงพาเราไปพักที่บ้านท่านเป็นการชั่วคราว

โรงเรียนอำเภอนางรอง ตั้งอยู่ห่างจากตลาดประมาณ 1 กิโลเมตร อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวัดป่าเรไร ติดกับหนองตาหมู่ มีอาคารเรียน 3 หลัง หลังแรกเป็นอาคารไม้แบบเก่าชั้นเดียวใต้ถุนสูง  แต่ได้กั้นฝาทำเป็นห้องเรียนเนื่องจากที่เรียนไม่พอ ส่วนอีกหลังหนึ่งทางโรงเรียนหาเงินสร้างขึ้นเอง เป็นอาคารสองชั้น ชั้นบนกั้นฝาทำเป็นห้องเรียนแล้ว  แต่ชั้นล่างยังปล่อยโล่งไว้ เนื่องจากเงินที่หาได้ไม่พอ  ส่วนอาคารเรียนหลังเก่าแก่ ชำรุดทรุดโทรมมากจนไม่สามารถใช้เป็นที่เรียนได้แล้ว จึงปรับใช้เป็นที่พักนักการภารโรง 

บ้านครูใหญ่อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 3 กิโลเมตร อยู่เกือบถึงบ้านหนองเสม็ด ตามเส้นทางลูกรังเชื่อมต่อระหว่างอำเภอนางรองกับอำเภอลำปลายมาศ  เวลาจะไปโรงเรียนต้องผ่านหนองโกรก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำของชุมชน  เดิมหนองโกรกมีขนาดใหญ่และมีน้ำมาก  แต่เนื่องจากทางราชการปล่อยปะละเลยขาดการเอาใจใส่ดูแล หนองโกรกจึงตื้นเขินเต็มไปด้วยผักตบชวาและพงหญ้า ส่วนริมหนองโกรกจะมีชาวบ้านถมดินบุกรุกเข้าไปสร้างเป็นที่อยู่อาศัย ทำให้หนองโกรกมีขนาดเล็กลง ใช้ประโยชน์อะไรเกือบไม่ได้ 

ข้างถนนริมหนองโกรกมีศาลาที่พักคนเดินทาง  เป็นศาลาโถง หลังคามุงสังกะสี มีที่นั่งพัก สภาพค่อนข้างเก่า  หลังศาลามีต้นมะขามใหญ่ใบหนาปกคลุมทำให้บริเวณนั้นร่มรื่น ถัดจากต้นมะขามเป็นต้นสนสูงชะลูด จากศาลาข้ามถนนไปจะเป็นทางเดินลงหนองน้ำ ข้างทางลงเป็นบ่อน้ำที่ชาวบ้านช่วยกันขุดและบุด้วยถังปูนซีเมนต์  ทุกเช้าและเย็นจะมีชาวบ้านมาตักน้ำไปใช้  บางคนมาหาบไปที่ละ 2 คุถัง บางคนใช้รถไสมาบรรทุกไปเที่ยวละ 4-6  ปีบ แต่บางครั้งก็ได้ไปแค่ 2-3 ปีบเท่านั้น เพราะน้ำไหลออกไม่ทัน  ทุกเช้าผมและครูทวี จะขี่จักรยานผ่านหนองโกรกไปโรงเรียนพร้อมกัน แต่กลับคนละเวลา ผมจะกลับเมื่อโรงเรียนเลิก ส่วนครูทวีมักกลับค่ำ หรือไม่ก็ดึก

วันสุดสัปดาห์ถือได้ว่าเป็นวันที่ดีที่สุดสำหรับข้าราชการครูบ้านนอกที่ต้องสอนสัปดาห์ละเกือบสามสิบชั่วโมง  เป็นวันที่จะมีโอกาสได้ตื่นสาย  พักผ่อนอย่างเต็มที่หลังจากต้องทำงานหนักมาตลอดห้าวันเต็ม  ช่วงสายๆหลังจากรับประทานอาหารแล้ว ผมและครูทวีออกมานั่งคุยกันเล่นที่ม้าหินขัดหน้าบ้าน ผมเอ่ยขึ้นว่า                  

 “นี่!  ทวี ท่านรู้ไหมว่า บริเวณศาลาข้างหนองโกรกที่ท่านขี่จักยานผ่านมาทุกคืนนั้น ผีดุ !”

 ครูทวีทำหน้าสงสัยถามว่า “พี่สังคมรู้ได้อย่างไร”            

 “เขาเล่ากันหลายคนว่า เคยมีคนขี่จักรยานผ่านไปบริเวณนั้นในเวลากลางคืน มีผีกระโดดซ้อนท้ายมาด้วยเลย” ผมใช้คำว่าเล่ากันหลายคนเพื่อเสริมให้ดูน่าเชื่อมากขึ้น

 “พูดเป็นเล่นไป”  ครูทวีพูดลอยๆ แสดงทีท่าไม่เชื่อ

 “ไม่น่าเป็นไปได้ เห็นคนไปตักน้ำกันตั้งแต่ยังไม่ทันสว่าง ส่วนตอนเย็นก็ตักน้ำกันอยู่จนมืดค่ำ” ครูทวีออกความเห็น

 ผมไม่รู้จะว่าอย่างไร เลยพูดว่า “ไม่รู้เหมือนกัน  เห็นเขาว่ากันอย่างนั้น” และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

 และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ครูทวีไม่เคยกลับบ้านค่ำหรือดึกอีกเลย

 ส่วนผมรู้สึกกระหยิ่งใจที่สามารถทำให้ครูทวีกลับบ้านเร็วขึ้นได้

ความจริงเรื่องผีหนองโกรกที่เล่าให้ครูทวีฟังนั้น ผมกรุขึ้นมาเอง  ทั้งนี้เพราะต้องการให้ครูทวีอยู่เป็นเพื่อน ไม่อยากให้กลับค่ำ หรือแอบหนีไปตลาดโดยไม่ชวน  ผมคิดว่าครูทวีคงไปจีบสาว จึงไม่อยากให้ไปด้วย

 บ่ายวันอาทิตย์ผมนั่งดูความงามของต้นคูนหน้าบ้านที่ออกดอกเหลืองอร่ามเต็มต้นจนแทบไม่มีที่ว่างสำหรับใบ  ต้นแพงพวยที่ริมรั้วดอกสีม่วง ไม้ดอกที่พร้อมจะเจริญเติบโตไม่ว่าจะขึ้นอยู่ที่ไหน ไม่สนใจต่อการดูแลรักษาหรืออาทรร้อนใจกับอะไรทั้งสิ้น นกน้อยคู่หนึ่งบินวนไปวนมาหาแมลงเป็นอาหารอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย 

 วันนี้ผมอยู่บ้านคนเดียว เพราะครูทวีไปนอนค้างบ้านเพื่อน และจะกลับเช้าวันจันทร์ ตอนเย็นผมจึงขี่จักรยานไปเที่ยวตลาด ดูโน่นดูนี่เพลินไป  กว่าจะกลับก็ค่ำ เกือบ 2 ทุ่ม  ขณะที่กำลังขี่จักรยานจะผ่านศาลาหนองโกรก เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีคนสัญจรไปมาเลย เงียบสงัดและวังเวง มองไปเห็นต้นมะขามดำทะมึนอยู่ข้างหน้า ยอดสนสูงสะบัดพริ้วเมื่อต้องลมบนคล้ายต้นไซเปรสที่บิดเบี้ยวเหมือนเปลวไฟสีดำสูงเสียดฟ้า ในภาพเขียนสีน้ำมัน คืนที่มีดาวพราวฟ้า (The Starry Night) ของ วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ ค.ศ. 1853-1890 (Vincent Van Gogh) ศิลปินลัทธิโพสต์อิมเพรสชั่นนิสต์ (Post Impressionism) ชาวดัตช์ จากภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำให้ ผมรู้สึกกลัวผีหนองโกรกขึ้นมาทันที  ทั้งๆที่เรื่องนี้ผมยกเมฆขึ้นมาเอง  แต่ยังอดกลัวไม่ได้

 เมื่อใกล้จะผ่านศาลา ผมไม่กล้าแม้แต่จะเหลียวไปดู มองเห็นแต่เงาสลัวๆของต้นมะขามที่ทาบลงบนพื้นถนนลูกรัง ผมปั่นจักรยานเต็มที่ แต่ในขณะนั้นรู้สึกได้ว่ามีคนวิ่ง เสียงกระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยาน  สันหลังผมเย็นวาบ เหงื่อไหลซิก  จักรยานหนักอึ้ง ผมปั่นจักรยานเต็มกำลังอย่างไม่คิดชีวิต  ชั่วอึดใจนั้น รู้สึกได้ว่าผู้ที่ซ้อนท้ายจักรยานได้กระโดดลงไปแล้ว  รถเบาหวิว แรงและเร็วจนต้องใช้เบรคช่วยชะลอ

คืนนั้นผมเป็นไข้ เนื่องจากตกใจและกลัวมาก  ตาแดงกล่ำ ขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาอุ่นๆไหลย้อยลงมาที่แก้ม หนาวสั่นจนถึงกระดูก  นอนขดตัวซุกอยู่ใต้ผ้าห่มหนา  ผวาและเพ้อทั้งคืน แต่โชคดีที่มียาจึงทำให้ผมหลับไปบ้างด้วยความอ่อนเพลีย

รุ่งเช้า ผมยังไม่หายไข้  ดูเหมือนอาการจะหนักขึ้นอีก  คงไปทำงานไม่ได้หลายวัน  สายนิดหนึ่งครูทวีกลับมาบ้านเตรียมตัวไปทำงาน  เมื่อเห็นผมนอนซมอยู่ก็ตกใจ จากสภาพที่ทรุดโทรมของผมทำให้สีหน้าครูทวีสลดลงอย่างเห็นได้ชัด 

 ครูทวีถามผมว่า “จะให้พาไปหาหมอไหม?” 

 ผมส่ายหน้า ครูทวีรับรู้และบอกว่า “เดี๋ยวสายๆจะกลับมาดู”

 ก่อนที่ครูทวีจะออกจากบ้าน เขาเดินมาที่ข้างเตียง ก้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูผมว่า 

 “คนที่วิ่งขึ้นซ้อนท้ายจักรยานพี่เมื่อคืนนี้  ผมเอง ขอโทษด้วยจริงๆ ไม่นึกว่าอาการจะหนักอย่างนี้” 

 แล้วครูทวีก็รีบเดินก้มหน้าก้มตาออกจากบ้านไปอย่างรู้สึกผิด

 ผมมองตามหลังครูทวีจนพ้นประตูไป  สบถในใจว่า “อ้ายบ้าวี”

 เมื่อครูทวีไปแล้ว ผมลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน  อาการป่วยของผมหายไปอย่างปลิดทิ้ง

……..

ภาพ: The Starry Night oil on canvas, 1889 (73×92 cm) Museum of Modern Art,New York.(p.101) Rosemart Treble.(1981).VAN GOGH AND HIS ART.New York.Hamlyn.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *