หัวใจเปื้อนขอล์ค ตอน ผีอำ

goath

หัวใจเปื้อนขอล์ค  ตอน  ผีอำ
หนองตาหมู่ หนองน้ำของชุมชนที่หล่เอเลี้ยงชีวิตของผุ้คนในอำเภอนี้มาเป้นเวลายาวนานนั้น น้ำใหหนองไม่เคยแห้ง ยามเช้าเมื่อมองจากโรงเรียนลงไปจะเห้นเรือคนหาปลาจอดนิ่งอยู่กลางหนองน้ำ เขากำลังหาปลาสำหรับอาหารมื้อเช้าและแบ่งห่อให้ลูกไปโรงเรียนเป้นอาหารกลางวัน ถ้ายังเหลือจะนำไปขายที่ตลาด เป้นรายได้เล็กๆน้อยๆสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ
ส่วนที่ริมหนองจะเห้นคนตักน้ำขาย กำลังใช้คุถังตักน้ำใส่ปีบที่ตั้งเรียงอยู่บนรถไสน้ำ เมื่อเต็มแล้วจะไสรถไปส่งร้านค้าในตลาด เพราะอำเภอนางรองเมื่อ 40-50 ปีที่แล้วยังไม่มีน้ำประปาใช้ ไฟฟ้ามีแค่เที่ยงคืนเท่านั้น หลังเที่ยงคืนไปแล้วเมืองนี้ก็มืดสนิท
บ่อยครั้ง ที่ผมไปเล่นรัมมี่กับเพื่อนที่บ้านภารโรง ไม่ได้เตรียมเทียนไขหรือน้ำมันเติมตะเกียงไว้ พอไฟดับต้องเลิกเล่นกันโดยปริยาย หากวันไหนจะเล่นรัมมี่จะนัดกันไว้ก่อนเสมอ จะสั่งให้ลุงแป๊ะเตรียมน้ำมูกน้ำมันไว้ พอโรงเรียนเลิกผมรีบกลับบ้าน อาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาเสร็จ ตอนค่ำจึงขี่จักรยานเข้าไปในโรงเรียน ผ่านวัดป่าเรไร ซึ่งมีป้ายเขียนไว้ที่ใต้ชื่อวัดว่า “มามืดไปสว่าง” ความหมายก็คือ หากมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม จิตใจจะสว่างโปร่งโล่งเป็นสุข แต่สำหรับผม “มามืดไปสว่าง” มิได้หมายความเช่นนั้น มันหมายถึงมามืดกลับสว่าง ชีวิตของผมดูจะสวนทางกับความดีงามเสียจริงๆ
วันเวลาผ่านไป ครูทวี สะอาดจัง ซึ่งรักใคร่ชอบพอกับสุนิสา ใช้ดี มานานพอสมควรแล้วจึงตัดสินใจแต่งงานกัน จากนั้นครูทวีย้ายไปอยู่กับ สุนิสาและใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข
ส่วนผม เมื่อบ้านพักครูที่โรงเรียนซึ่งได้รับงบประมาณมาสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางโรงเรียนได้จัดให้เข้าพักกับอาสาสมัครชาวอเมริกันที่มาช่วยสอนภาษา มิสเตอร์ สมิธ นีด จากเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา สมิธ สอนภาษาอังกฤษ เราเป็นเพื่อนสนิทกัน คุยกันพอรู้เรื่องบ้าง
สมิธ นีด เป็นคนวัยเดียวกับผม ผิวขาว รูปร่างผอมสูง พูดฟังง่าย ชัดถ้อยชัดคำ เขาเป็นคนช่างสังเกต รักธรรมชาติ สนใจการอ่านและแต่งบทกวี
เนื่องจากสงครามเวียดนามเป็นสงครามกองโจรที่โหดร้ายทารุณ ทหารอเมริกันที่ถูกส่งมารบในสงครามเวียดนามถ้าไม่ตายก็พิการ การที่จะได้กลับบ้านอย่างวีระบุรุษนั้นยาก ดังนั้นเด็กหนุ่มอเมริกันทุกคนจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเป็นทหาร สมิธ นีด ก็เช่นเดียวกัน คนอย่างเขาถ้าเป็นทหารมีแต่ตายลูกเดียว เนื่องจากรูปร่างที่สูงเก้งก้าง และจิตใจที่ละเอียดอ่อน เขาไม่สามารถจะใช้ปืนยิงคนที่เขาไม่เคยรู้จักได้ ใจเขาไม่โหดพอ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเป็นอาสาสมัครสอนภาษา
วันหนึ่งขณะที่ผมและ สมิธ นั่งรับประทานอาหารค่ำกันที่ร้านขาหมูนางรอง เราดื่มสิงห์เบียร์กันคนละแก้วเพื่อเพิ่มรสชาติ ผมถามสมิธว่า “คุณกลัวสงครามเวียดนามใช่ไหม? ถึงได้มาเป็นอาสาสมัคร”
“ใช่” สมิธตอบโดยไม่อายและไม่ต้องคิด ใช้ซ่อมจิ้มแตงกวาใส่ปากเคี้ยวเล่น
สมิธ อธิบายต่อ “คนอเมริกันกลัวสงครามเวียดนามด้วยกันทั้งนั้น ที่ไม่กลัวเห็นจะมีแต่ในหนังสงครามเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม การเป็นอาสาสมัครไม่ได้เป็นกันง่ายๆ คุณต้องมีคุณสมบัติตามที่เขาต้องการ และที่สำคั¬ญคุณจะต้องพูดภาษาไทยได้บ้างและสอบได้”
“เยี่ยม!” ถ้าผมเป็นคุณผมก็ทำวิธีเดียวกันนี้แหละ ผมหยิบกระเทียมใส่ปากเคี้ยวแก้เลี่ยน และซักไซ้ไล่เรียงต่อไปว่า
“ทำไมถึงเลือกมาประเทศไทย”
“ประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่กว้างให¬ญ่ไพศาล ชีวิตดูสับสนวุ่นวายและเร่งด่วน ส่วนประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆที่มีรูปแบบวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่เรียบง่ายน่าสนใจ” สมิธ อธิบาย
สมิธ เน้นให้เห็นชัดว่า “สิ่งหนึ่งที่เขาไม่ลังเลใจที่จะตัดสินใจเลือกมาเมืองไทยก็คือ คนไทยเป็นคนที่มีอัธยาศัยไมตรี นอกจากไม่รังเกียจชาวต่างชาติแล้วยังให้เกียรติอีกด้วย”
ผมพยักหน้ายอมรับความจริง จากนั้นเราสั่งเบียร์มาเพิ่มและพูดคุยกันอย่างถูกคอรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เมื่อดึกพอสมควรเราพากันเดินแบบฟันปลากลับบ้านพัก
บ้านพักครูที่เราสองคนอยู่ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว หลังคามุงกระเบื้องลอนคู่ ใต้ถุนสูง พื้นใต้ถุนบ้าน เทคอนกรีต ใช้สำหรับจอดรถหรือนั่งเล่นสบายๆ มีบันไดทางขึ้นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จากชานบันไดเข้าไปเป็นห้องโถง ซึ่งติดกับห้องนอนสองห้อง เรานอนคนละห้อง ด้านหลังเป็นห้องครัวและห้องน้ำ
มิสเตอร์ สมิธ นีด นอนอยู่ห้องแรก ส่วนผมนอนอยู่ห้องถัดไป ภายในห้องจะมีเตียง ตั้งอยู่ชิดผนัง มีโต๊ะข้างเตียงสำหรับวางสิ่งของเครื่องใช้ ห้องที่ผมนอนนี้ ผมมักจะถูกผีอำบ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็มากดทับทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก ขยับตัวไม่ได้ แขนขาเหมือนถูกตรึงไว้กับที่นอน พยายามร้องเอะอะแต่ก็ไม่มีเสียง บางครั้งหนักไปกว่านั้นอีก เห็นเป็นมือมาลากขาผมให้ลงจากเตียง เมื่อตกใจตื่นก็หาย
เนื่องจากผมเป็นคนแปลกๆ เรื่องผีบางครั้งก็กลัวเอามากๆ แต่บางครั้งก็ไม่กลัว ที่กลัวก็เนื่องจากใจคิดไปเอง ส่วนผีอำ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่ผมนอนหลับ ผมจึงไม่ค่อยกลัวสักเท่าไร
ผมไปปรึกษาเรื่องผีอำกับลุงแป๊ะ ภารโรงเก่าแก่ของโรงเรียนที่บ้านพักแก ลุงแป๊ะอธิบายว่า
“เวลานอนหลับ ครูอาจนอนทับแขนตัวเอง หรือนอนหงายเอามือกดทับหน้าอก ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เลือดลมในร่างกายเดินไม่สะดวก ความสัมพันธ์ในร่างกายไม่ดี ทำให้อึดอัด หรือเพราะครูนอนดึก ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย” ลุงแป๊ะยกถ้วยชาใส่เหล้าขาวขึ้นดื่ม แล้วรินใหม่ส่งให้ผม แกรินเพียงครึ่งถ้วย เพราะรู้ว่าคอผมยังไม่แข็งพอ
“ผมนอนไม่ดึกนะ แต่ถ้าวันไหนดื่มมากไปหน่อย เรื่องผีอำก็ลืมไปได้เลย”
ผมยกถ้วยเหล้าที่ลุงแป๊ะส่งให้ดื่มรวดเดียวหมด หยิบเนื้อเค็มเข้าปากเคี้ยวแก้เหล้าบาดคอ
ผมถามลุงแป๊ะว่า “เป็นเพราะเตียงนอนได้ไหม อาจทำจากไม้เก่าที่เป็นโลกศพ”
ลุงแป๊ะหัวเราะ “เป็นไปไม่ได้หรอก เตียงนอนที่บ้านครู ผมทำมากับมือ พื้นเตียงเป็นไม้อัดแผ่นเดียวหนาซื้อมาใหม่เอี่ยม ส่วนประกอบอื่นๆก็ใช้ไม้ที่มีขนาดแตกต่างจากที่ทำโลงศพ
“แล้วทิศทางการวางเตียงล่ะ มีส่วนไหม” ผมถามและรินเหล้าส่งให้ลุงแป๊ะ
ลุงแป๊ะวางเหล้าลง ทำหน้าตาครุ่นคิด
“อาจเป็นไปได้ คือไปตั้งขวางทางเดินประจำของผีตนใดตนหนึ่งเข้า กลางคืนมันออกมาเดินเล่นเลยเดินมาเหยียบครูเข้า” ลุง แป๊ะพูดแบบขำๆ
“แล้วเป็นป่าช้าเก่าล่ะ !”
“ไม่มีป่าช้าเก่าอะไรหรอก ผมวิ่งเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เด็ก รับรองได้เลย” ลุงแป๊ะยืนยัน
เราดื่มกันอีกคนละแก้ว จากนั้นผมจึงขอตัวกลับ และสรุปเอาเองว่า บริเวณนี้ต้องมีอะไรอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าผมมองไม่เห็น ตรงตามหลักการที่ว่า ตาของคนเรานั้น มีคุณสมบัติจำกัด สามารถมองเห็นได้เท่าที่เห็นเท่านั้น ยังมีสิ่งต่างๆอีกเป็นจำนวนมากที่มองไม่เห็น เช่น เชื้อโรค ดังนั้นจะเหมาเอาว่าไม่มี ไม่จริงคงจะไม่ได้
เช้าวันหนึ่ง ผมนั่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้าน คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปตามเรื่อง ชั่วแวบเดียวผมก็นึกถึงเรื่องผาเสด็จขึ้นมาได้ว่า เมื่อ ปี พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตั้งกรมรถไฟขึ้น และได้ดำเนินการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพถึงอยุธยาก่อน จากนั้นในปี พ.ศ. 2439 จึงได้ดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟต่อไปยังจังหวัดนครราชสีมา
ปรากฏว่าบริเวณที่ปัจจุบันเรียกกันว่าผาเสด็จนั้นมีชะโงกหินและมีต้นไม้ใหญ่ขวางทางอยู่ จะระเบิดชะโงกหินหรือตัดต้นไม้ใหญ่ก็มีเหตุให้เป็นไปต่างๆนานา ความทราบถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงโปรดให้นำตราแผ่นดินไปประทับตรงโคนต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น ทำให้การสร้างทางดำเนินต่อไปได้ และมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า พอต้นไม้ใหญ่นั้นถูกตราแผ่นดินพระราชทานตีประทับลงที่โคนต้นแล้ว ก็ให้มีอันกิ่งใบแห้งเหี่ยวลงไปทันที
ตกเย็นผมจึงจัดการเรื่องผีอำของผม ดังนี้
ผมเปลี่ยนตำแหน่งของเตียงนอนใหม่ตามข้อสมมุติฐานที่ว่า เตียงนอนอาจจะไปขวางทางเดินของผีตนใดตนหนึ่ง เมื่อเปลี่ยนตำแหน่งแล้วจะได้ไม่ถูกผีเหยียบ
ผมพยายามนอนพักผ่อนให้มากขึ้นเพื่อร่างกายจะได้แข็งแรงไม่อ่อนเพลีย
จากนั้นผมชวน สมิธ และลุงแป๊ะ ร่วมทำพิธี ผมนำเหรียญ¬บาทเก่าที่มีตราอาร์มหรือตราแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 ประทับไว้ที่ประตูบ้านทั้งประตูหน้าและประตูหลัง ผมจัดเครื่องเซ่นไหว้มีเหล้าและกับแกล้มวางไว้บนเสื่อที่ใต้ถุนบ้าน จุดธูปปักไว้บนพื้นดิน นั่งยองๆยกมือพนม ลุงแป๊ะยกมือพนมตามผม สมิธ ก็ทำตามด้วยหน้าตางงๆ ผมกล่าวกับวิ¬¬ญญาณที่อาจจะวนเวียนอยู่บริเวณนี้ว่า “ข้าพเจ้านายสังคม โสภา เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอประกาศให้วิ¬¬ญญาณที่จะเป็นใครก็ตาม ให้ได้ทราบเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปว่า ที่บริเวณนี้และบ้านพัก เป็นของทางราชการ เป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน และได้นำตราแผ่นดินมาประทับไว้ที่ประตูบ้านแล้ว ดังนั้นท่านจึงไม่สามารถที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ให้ย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ หากขัดขืนถือว่ามีความผิด จะต้องถูกลงโทษ การประกาศครั้งนี้ มีนายแป๊ะ อดทน นักการภารโรง และมิสเตอร์สมิธ นีด อาสามสมัครชาวอเมริกันเป็นพยาน”
เย็นวันนั้นเราจัดการเครื่องเซ่นกันจนดึกดื่น และตั้งแต่วันนั้นมาผมก็ไม่เคยถูกผีอำอีกเลย
………..

Comments are closed.