จิปาถะ เรื่องสั้น เหตุเกิดที่สารขัณฑ์  (ถีบส่ง)

วันเสาร์ที่10 ธันวาคม พ.ศ. 2565

จิปาถะ เรื่องสั้น เหตุเกิดที่สารขัณฑ์  (ถีบส่ง)

10

วันนี้ขอแสดงความชื่นชมยินดีกับ อาจารย์ ผศ. Aaron James แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ท่านได้ศึกษาพฤติกรรมของคนเหี้ย จนสามารถ ตั้งเป็น “ทฤษฏีไอ้เหี้ย (Assholes: a theory) ”ขึ้นมาได้  ซึ่งเมื่อนำทฤษฏีดังกล่าวมาตรวจสอบกับพฤติกรรมของอีแต้ม อธิการบดี ม.สารขัณฑ์ ปรากฏว่า ช่างแม่นยำเหลือเกิน เข้ากันได้สนิทแนบแน่นยังกับ ยางกับกระทะล้อรถยนต์ อย่างไงอย่างนั้น เพียงแต่อาจต้องเปลี่ยนชื่อภาษาไทย เป็นทฤษฏีอีเหี้ย เท่านั้น

ตามทฤษฏีอีเหี้ยข้อหนึ่งของท่านก็คือ อีเหี้ยจะรักษาผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าผลประโยชน์ของคนอื่น  โดยการฉกฉวยโอกาศด้วยระบบหน้าด้าน หน้าทน หน้าหนา หน้าไม่มียางอาย เช่น เมื่อครั้งยังไม่เกษียณอายุราชการ อีเหี้ยแต้ม ขอผลงาน รศ. และทราบข่าวว่าอาจารย์ผู้ตรวจไม่ยอมให้ผ่าน นางจึงรีบเไปขอพบอาจารย์ และอ้างเหตุผลเข้าข้างตัวเองต่างๆนาๆ  อาจารย์ก็ไม่ยอม สุดท้ายนางจึงตั้งหน้าตั้งตาร้องห่มร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรตามสไตล์หรือตามลีลานองนาง จนอาจารย์ใจอ่อน เพราะนางหวังแต่เพียงประโยชน์ตนที่จะได้เท่านั้น  แต่ไม่เคยคิดว่า อาจารย์จะต้องเสียชื่อเสียงแค่ไหน ที่ปล่อยยให้ผลงานห่วยแตกแบบนั้นของนางผ่านไปได้  แต่มันไม่สน คือ นางจะฉกฉวยโอกาสในทุกเวลาและโอกาส “ขออย่างเดียวคือกูได้” หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ตอนที่ได้รับการสรรหาเพื่อเป็นอธิการบดี นางได้คะแนนมาเป็นอันดับ 2 ในขณะที่ท่านประภู่ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 นางอยากเป็นมาก จึงพยายามหาทางตกลงกับประภู่ โดยพูดจาหว่านล้อม เพื่อขอตกลงกับท่าน “เอาเป็นว่า เราแบ่งกันเป็นอธิการคนละครึ่งสมัยก็แล้วกันนะ แต่ขอให้ฉันเป็นก่อน” อีเหี้ยเอ้ย!  ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับข้อตกลง แต่ท่านประภู่เป็นคนตงฉิน คือ ซื่อตรง, ซื่อสัตย์, มีคุณธรรม.บอกว่าให้เป็นไปตามระบบ 

 และเนื่องจากนางอยากเป็นอธิการบดีจนตัวสั่นงันงก จึงใช้เล่ห์เหลี่ยมที่มีอยู่เป็นกระตัก เช่น นางรู้(ใครๆก็รู้) ว่าคนที่จะได้รับการสรรหาให้เป็นอธิการบดี เสียงสำคัญอยู่ที่ 1ไอ้เวรตะไล Kovid อดีตอธิการ และ 2. ไอ้สุชี๋ นายกสภาฯ นางจึงพยายามประจบ เช่น หาทางสร้างบุญคุณ เขาว่ากันว่า มีการใส่ซองช่วยงานกันเป็นแสนๆ แต่ผมไม่อยากบอกว่าเป็นงานอะไรและเป็นงานของใคร (อยากรู้ติดต่อหลังไมค์) นอกจากนั้นยังใช้ให้ไอ้เกียงไก่ดำ รองอธิการบริหารจอมเจ้าเล่ห์คือกัน ซึ่งต่อมาถูกอีแต้มกดดันมีอาการเดี้ยงและมรณํไปแล้ว วิ่งไปหาไอ้สุชี๋ ถึงเมืองสองแคว  เพื่อต่อลอง จนประสบผลสำเร็จ เป็นอธิการบดีจนได้ ซึ่ งผู้รวมหัวกันทั้งสาม คือ ไอ้เกียงไก่ดำ ไปแล้ว ไอ้เวรตะไลก็มีอาการ เป๋ๆ  เข้าหน้าใครไม่ติด และคอนดู การสรรหานายสภาฯ คนใหม่ ที่ใกล้วันเข้ามาแล้ว งานนี้ไอ้สุชี๋อาจถึงกระอักเลือด นี่คือพฤติกรรมของนางแต้ม ที่เปรียบเสมือนคนโดยสารเรือจ้าง คือเมื่อขึ้นฝั่งได้ก็ถีบส่ง ผมจึงให้สมญานามมันว่า “อีเหี้ย”

ส่วนท่าน PN.บอกว่า “เรามาเป็นชาละวันยุคดิจิตัลกัน แต่ไม่ปราบจระเข้นะครับ ปราบเหี้ยแทน เพราะยุคนี้เหี้ยเยอะจริงๆ ทั้งที่สารขันฑ์ แห่งที่ราบสูงและที่ลิกอร์ ฝั่งชายเขา ขอบทะเล เรียกว่ามากันเป็นฝูงๆ แต่ตัวแม่และตัวพ่อเหี้ยปราบยากหน่อย เพราะมันแก่ชราเลยหนังเหนียว รู้มาก หน้าด้าน พรรษาเยอะ”

….

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *