ไปนรก

วิสุทธิ์ ตูน 10 กุมภาพันธ์ 2552

วันที่ 07 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6645 ข่าวสดรายวัน
บุกวัดจับ-สมภารตุ๊ด ตะลึง”มีนม” ฉายาฉาว”เจ๊ดาว”
ผวจ.นำค้น-วัดดังลำพูน พระครูแต๋วเผ่นหนีก่อน แจ้งเจ้าคณะขอสึกเงียบๆ แฉสักคิ้ว-ศัลยกรรมตัว

ผู้ว่าฯ นำตำรวจบุกวัดดังกระชากหน้ากากเจ้าอาวาสตุ๊ด เจ้าของฉายา “เจ๊ดาว” เจ้าแม่เมืองลำพูนยกกำลังเข้าวัดศรีบุญเรืองกลางเมืองลำพูน ตรวจค้นกุฏิปรากฏว่าเจ้าอาวาสฉาวหายตัวไปพร้อมกับทรัพย์สินมีค่าทั้งหมด ทิ้งไว้เพียงห้องเปล่ากับข้าวของเหลือใช้ทิ้งรกรุงรัง ตรวจสอบกุฏิอื่นๆ ในวัดพบเสื้อผ้า เครื่องใช้ฆราวาส และอุปกรณ์แต่งตัวผู้หญิงซุกซ่อนอยู่จำนวนมาก ผู้ว่าฯ ระบุได้รับร้องเรียนว่าเจ้าอาวาสรูปนี้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ปลอมตัวแต่งหน้า ใส่วิกออกเที่ยวจับเด็กหนุ่มมามั่วสุมในวัด ชาวบ้านแห่แจ้งข้อมูลอื้อฉาวมานานแล้ว ทั้งทำหน้าอก สักปาก ทำคิ้วถาวร ขณะที่รองเจ้าคณะจังหวัดและสำนักงานพระพุทธศาสนาเผย สมภารตุ๊ดติดต่อมาแล้วขอสึกจากความเป็นพระเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียไปกว่านี้ แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งเรื่องพฤติกรรม และการแปลงเพศ เสริมหน้าอก
ผู้ว่าฯ นำตำรวจบุกวัดดังกระชากหน้ากากเจ้าอาวาสตุ๊ดครั้งนี้ สืบเนื่องจากน.ศ.สาวคนหนึ่งเข้าร้องเรียนนายนที ธีระโรจนพงษ์ เลขานุการกลุ่มเชียงใหม่อารยะ ว่าแฟนหนุ่มมีหนี้สินจากการเล่นพนันฟุตบอลจำนวนมาก จากนั้นได้รู้จักกับกะเทยรุ่นใหญ่ซึ่งช่วยเหลือเงินทองแต่ต้องยอมมีความสัมพันธ์ด้วย กระทั่งรู้ว่ากะเทยรายนี้เป็นถึงเจ้าอาวาสวัดชื่อดังในจ.ลำพูน และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมจนเป็นที่กล่าวขวัญกันข้ามเมือง จึงต้องการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและดำเนินการเพื่อไม่ให้ศาสนาเสื่อมเสีย
ล่าสุดเมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 6 ก.พ. นายดิเรก ก้อนกลีบ ผู้ว่าฯ ลำพูน พร้อมด้วยพ.ต.อ. ปฐม ประจันเขตต์ ผกก.สภ.เมืองลำพูน พ.ต.ท. ดนัย ใจกล่ำ สวป. พ.ต.ท.ทนงค์ศักดิ์ จงรักษ์ สว.สส. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 20 นาย และเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนา เข้าตรวจสอบกุฏิของพระครูโสภณปริยัติ เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง และเจ้าคณะตำบลในเมือง เขต 2 อ.เมือง จ.ลำพูน หลังจากได้รับรายงานจากสำนักงานพุทธศาสนา จ.ลำพูน ว่า เจ้าอาวาสวัดดังกล่าวมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ถึงขั้นแปลงเพศนำชายหนุ่มหน้าตาดีเข้ามามั่วสุมทางเพศภายในวัด
เมื่อคณะของผู้ว่าฯ ลำพูนไปถึงพบว่าเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวหลบหนีออกจากวัดไปก่อนหน้านี้แล้ว จากการตรวจค้นกุฏิพบโต๊ะตู้ต่างๆ ถูกรื้อค้นเก็บของมีค่าออกไปทั้งหมด เหลือเพียงข้าวของรกรุงรังเต็มเกลื่อนห้อง โดยมีกะเทยคนหนึ่งอยู่ในห้อง สอบถามบอกไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่มารับเงินค่าดอกไม้เท่านั้น ขณะที่บนชั้น 2 พบเพียงห้องเปล่า ไม่มีสิ่งของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว
ผู้ว่าฯ ลำพูนกล่าวว่า ได้รับข้อมูลว่ามีพระผู้ใหญ่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ถึงขั้นแปลงเพศ และออกไปเที่ยวเตร่กับเด็กหนุ่มๆ ตามสถานบันเทิง จนเป็นที่รู้จักกันในนาม “เจ๊ดาว” จึงเข้าตรวจสอบพบว่าเจ้าอาวาสหลบหนีออกจากวัดไปก่อนหน้านี้แล้ว จึงให้สำนักงานพุทธศาสนา จ.ลำพูน ประสานงานพระผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด รวมทั้งประสานประธานชมรมดูแลพระพุทธศาสนาเชียงใหม่ เพื่อขอข้อมูลมาตรวจสอบเพิ่มเติมด้วย คาดว่าภายในวันที่ 10 ก.พ.นี้จะทราบผล หากพบว่าพระผู้ใหญ่ที่ถูกกล่าวหามีพฤติกรรมตามที่เป็นข่าว ก็ต้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎของมหาเถรสมาคม คือ ต้องสึกออกจากการเป็นพระทันที
ผู้ว่าฯ ลำพูนกล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบทั่วบริเวณวัดพบว่า ตามห้องพักบนกุฏิและห้องนอนของพระสงฆ์ภายในวัดมีแต่เครื่องนุ่งห่มของฆราวาส อยู่ตามมุมห้องทุกห้อง และมีข้าวของเครื่องใช้ของชาวบ้าน เช่น กางเกง เสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้าผ้าใบ และเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้หญิงซุกซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ ในห้องพัก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ด้านนายสุรชัย ขยัน ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา(พศ.) จ.ลำพูน กล่าวว่า ได้ติดต่อกับพระครูโสภณปริยัติแล้ว ท่านรับปากว่าจะเข้าพบพระผู้ใหญ่ภายในวันสองวันนี้ ซึ่งสำนักพุทธศาสนาจะดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎและข้อบังคับของมหาเถรสมาคม ทั้งนี้พระผู้ใหญ่ที่มีส่วนในการปกครองต้องดำเนินการเรื่องนี้ เชื่อว่าตัวพระครูโสภณปริยัติคงรู้ดีว่าได้กระทำอะไรลงไป ซึ่งวันที่ 10 ก.พ.นี้เรื่องทุกอย่างคงจบลง โดยรายงานเจ้าคณะจังหวัดลำพูนรับทราบแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากผู้ว่าฯ ลำพูนนำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบวัดศรีบุญเรือง ชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างเดินทางมายังวัดและวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เจ้าอาวาสกระทำตัวไม่เหมาะสมกับสมณเพศมานานแล้ว ล่าสุดไปทำศัลยกรรมใบหน้า ทำตาสองชั้น แต้มริมฝีปากถาวร ทำคิ้วถาวร นอกจากนี้ยังเสริมหน้าอกอีกด้วย จนเป็นที่ทราบกันดีในหมู่สีเหลืองขมิ้นด้วยกันว่า “เจ๊ดาวแห่งเมืองลำพูน” หรือ “เจ้าแม่ลำพูน”
ชาวบ้านยังให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ด้วยว่า พระครูโสภณปริยัติเป็นพระผู้ใหญ่ในจังหวัด เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาพระพุทธศาสนา ทั้งที่วิทยาลัยเทคนิคลำพูน โรงเรียนเมธีวุฒิกรลำพูน และวิทยาลัยสงฆ์ลำพูน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการสงฆ์อย่างมาก อยากให้พระผู้ใหญ่และเจ้าหน้าที่เข้มงวดกวดขันเอาจริงเอาจังเพื่อไม่ให้ศาสนามัวหมองไปมากกว่านี้ เนื่องจากในจ.ลำพูน ยังมีพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมแบบนี้อีกจำนวนมาก จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องใช้โอกาสนี้ชำระสะสางดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพื่อขจัดและป้องกันไม่ให้เหลือบศาสนาเข้ามาอีก
ขณะที่นายบอย(นามสมมติ) ช่างเสริมสวยใน จ.ลำพูน พยานคนสำคัญที่ให้เบาะแสข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีกะเทยเข้ามาให้ตนเสริมสวย ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นพระ เพราะใส่วิก ติดขนตาปลอม ช่วงที่กำลังทำเสริมสวยกะเทยคนดังกล่าวดันหน้าอกขึ้นให้นูนเห็นเนินใหญ่โตเพื่ออวดตน แต่ไม่ได้ติดใจ ยังทำเสริมสวยต่อไปตามปกติ กระทั่งต่อมาได้ไปร่วมงานบุญแห่งหนึ่ง มีพระรูปหนึ่งเดินมาหาและทักทายบอกว่าจำไม่ได้หรือ ตนเห็นหน้าก็ตกใจมากเพราะพระรูปนี้ก็คือกะเทยที่ตนทำเสริมสวยให้นั่นเอง

”ที่ออกมาเปิดเผยครั้งนี้เพราะอยากให้ศาสนาพ้นจากพวกนี้ อยากให้ศาสนาพุทธไม่มีพวกมารพวกนี้มาแอบแฝง จึงออกมาเปิดเผยเปิดโปงข้อมูลทั้งหมด ส่วนพระรูปนี้แปลงเพศหรือไม่ ตอนนั้นไม่กล้าไปจับก็เลยไม่รู้ แต่รู้ว่ามีเงินมาก และมีอิทธิพลมากในหมู่คณะสงฆ์ด้วยกัน จึงอยากให้พระผู้ใหญ่และสำนักพุทธศาสนาแต่ละจังหวัดช่วยตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดด้วย”ช่างเสริมสวยพยานคนสำคัญกล่าว

ขณะที่นายนที เลขานุการกลุ่มเชียงใหม่อารยะ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งบอกว่า แฟนหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี อายุ 24-25 ปี เล่นพนันฟุตบอลติดหนี้สินจำนวนมาก จนต้องไปขายตัวให้กับพระรูปหนึ่งหลายครั้งได้เงินมาประมาณ 70,000 บาท นำมาใช้หนี้พนันบอล ด้วยความหึงหวงเด็กสาวคนนั้นจึงเค้นเอาความจริงกับแฟนหนุ่มจนทราบเรื่อง โดยแฟนหนุ่มบอกว่าไม่ต้องกลัวติดเอดส์ เพราะพระรูปดังกล่าวแปลงเพศแล้ว จากนั้นแฟนสาวออกสืบข้อมูลด้วยตัวเองอย่างละเอียดจนรู้ว่าพระรูปนี้มีชื่อในหมู่วัยรุ่นและวงการว่า “เจ๊ดาว” มีรถยนต์ขับ เวลาออกเที่ยวจะแปลงร่างแต่งตัว แต่งหน้า ใส่วิก ออกจับเด็กหนุ่มวัยรุ่นตามสถานบันเทิงไปร่วมหลับนอน จัดเป็นพระที่มีอิทธิพลเพราะมีเงินทองมาก

วันเดียวกันนายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิ การมหาเถรสมาคม(มส.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่ง ชาติ(พศ.) กล่าวว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดลำพูนรายงานด่วนมาว่า พระครูโสภณปริยัติ(สมาน) เจ้าคณะตำบลในเมือง เขต 2 และเจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.ลำพูน ขอลาสิกขาบทแล้ว เพราะไม่อยากให้ทางวัดเสื่อมเสียชื่อเสียง อีกทั้งก่อนหน้านี้ได้ขอสึกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะบวชมาตั้งแต่อายุ 11 ขวบจึงเกิดความเบื่อหน่าย แต่โยมแม่ร้องขอไว้ เพราะอยากให้ลูกอยู่ในผ้าเหลืองจึงยังไม่ได้สึกออกมา เมื่อเกิดกรณีนักศึกษาสาวร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมเลี้ยงเด็กจึงถือโอกาสสึก และอยากจบปัญหาทั้งหมด

นายอำนาจกล่าวอีกว่า พระครูโสภณปริยัติชี้แจงเรื่องน.ศ.สาวร้องเรียนว่า น่าจะเกิดจากความหึงหวงแฟนหนุ่มซึ่งเป็นเด็กวัด โดยพระครูโสภณปริยัติส่งเสียเรียนหนังสือ แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งดังที่ถูกกล่าวหา ส่วนกรณีกล่าวหาว่าผ่าตัดแปลงเพศแล้วนั้น รองเจ้าคณะจังหวัดลำพูนยืนยันมาแล้ว โดยสอบถามพระโสภณปริยัติได้คำตอบว่ายังไม่ได้ผ่า หรือแปลงเพศใดๆ ทั้งนั้น ในทางตรงกันข้ามบวชเรียนมานานจนเป็นที่ศรัทธาของญาติ โยม ถือเป็นพระที่ดี แต่เมื่อเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นจึงขอสึกจากความเป็นพระ เพราะเกรงว่าจะนำเรื่องเสื่อมเสียมาถึงวัด และพระพุทธศาสนา

ด้านพระราชปัญญาโมลี รองเจ้าคณะจังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า อาตมาได้รับหนังสือขอลาสิกขาบทจากพระครูโสภณปริยัติแล้ว ทั้งนี้ได้รายงานเจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะจังหวัด ในฐานะพระสังฆาธิการผู้ปกครองรับทราบเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ก่อนมอบหนังสือดังกล่าวให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดลำพูนดำเนินการต่อไป โดยในหนัง สือของพระครูโสภณปริยัติแจ้งว่าจะทำพิธีลาสิกขาบทในวัดบ้านเกิดที่อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ วันที่ 7 ก.พ. แต่ไม่ได้แจ้งเวลาและวัดที่จะทำพิธีลาสึกแต่อย่างใด เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนตามไปสร้างความวุ่นวาย ซึ่งตามหลักพระธรรมวินัยสงฆ์ การลาสิกขาบท สามารถประกอบพิธีที่วัดใดก็ได้

รองเจ้าคณะจังหวัดลำพูน เปิดเผยอีกว่า อย่างไรก็ตามพระครูโสภณปริยัติขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ไม่ขอชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะเท่าที่เกิดเรื่องเช่นนี้ทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์เมืองลำพูนเป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อให้เรื่องราวจบลงด้วยดีจึงขอลาสิกขาบทนับแต่นี้เป็นต้นไป

”สำหรับพฤติกรรมของพระครูโสภณปริยัติ ตามที่เป็นข่าวนั้น อาตมาไม่ทราบข้อเท็จจริง เพราะ มีโอกาสได้พบและพูดคุยกับท่านไม่มากนัก ส่วนใหญ่เท่าที่เห็นท่านเป็นคนเรียบร้อย พูดจาไพเราะ แต่เรื่องที่เกิดขึ้น อาตมาในฐานะพระผู้ใหญ่ก็ไม่สะดวกจะสอบถาม แต่ภายหลังจากได้รับหนังสือลาสิกขาบท ได้สอบถามท่านโดยตรง ท่านก็บอกว่าไม่รู้สึกติดใจในประเด็นข้อกล่าวหาแต่อย่างใด แต่เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ท่านจะขอลาสึกทันที” พระราชปัญญาโมลี กล่าว

Comments are closed.