มลทินกรรม

3
จากถนนดำหรือถนนลาดยาง มีทางแยกเข้าไปเป็นถนนแดงหรือถนนลูกรัง ขนาดพอรถวิ่งสวนกันไปมาได้ สองข้างถนนเป็นท้องนาเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ชาวนากำลังดำกล้ากันเป็นกลุ่มๆปีนี้น้ำมาก ฝนตกเกือบทุกวัน นาทางอีสานจะดีส่วนนาทางภาคกลางจะเสียหายเพราะน้ำท่วม จากถนนลูกรังมีทางแยกเข้าหมู่บ้านที่มีบ้านปลูกกับอยู่ห่างๆ กลางหมู่บ้านมีศาลาที่เป็นศูนย์กลางการพบปะกันของชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่รู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกันทั้งนั้น

บ้านสดเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงแบบบ้านอีสานทั่วไปใต้ถุนนอกจากจะใช้เป็นที่นั่ง นอนหลับพักผ่อนแล้ว ยังใช้เก็บสัมภาระในการทำมาหากินอีกด้วย ถัดจากตัวบ้านไปทางด้านซ้ายเป็นยุ้งข้าว ขนาดพอสำหรับเก็บข้าวไว้กิน ส่วนรอบบริเวณเป็นต้นหมากรากไม้ พวกมะม่วง มะพร้าว มะกรูดมะนาว ก็เก็บกินเก็บขายกันได้ตลอดปี

บ้านหลังนี้ เป็นบ้านของพ่อแม่สดซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว สดเป็นลูกคนเดียว จึงได้รับมรดกพร้อมทั้งที่นาอีกจำนวนหนึ่ง

หลังจากพาสดออกจากโรงพยาบาล พวกเรามานั่งกันอยู่ใต้ถุนบ้านสด ก็มีผม สด และครูเอื้อนซึ่งได้ข่าวว่าสดหายป่วยก็รีบมาหา เราคุยเรื่องสับเพเหระกันสบายๆ สุดท้ายครูเอื้อนเอ่ยขึ้นว่า
“เป็นไง สด ไปทำอะไรมานะ! ถึงได้เพี้ยนไป”
“จำไม่ได้เลย” สดตอบเบาๆ “เออ! แกช่วยเล่าให้ฟังหน่อยซิว่าเป็นอย่างไร แกถึงต้องพากันมาส่งโรงพยาบาล” สดหันไปทางครูเอื้อน
“เรื่องมันยาวและสลับซับซ้อน แกนั่นแหละเป็นคนเล่าให้ฉันฟังเองเมื่อตอนไปหาฉันที่บ้านตาเป็ก” เอื้อนหันไปทางสด
“กันจำอะไรไม่ได้จริงๆ” สดแสดงอาการที่บ่งบอกว่ามืดแปดด้าน “ลองเล่าให้ฟังสิ เผื่อกันจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง” สดรบเร้าและหันหน้ามาทางผม เชิงขอความเห็น
ผมผงกหัว แสดงว่าเห็นคล้อยตามด้วย พร้อมกับพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน จะได้ชัดเจนเสียที”
“เริ่มเลย เอื้อน” สดเร่งเร้าเมื่อเห็นครูเอื้อนชักช้า
“ได้…เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว ตอนประมาณเกือบเที่ยง แกไปหาฉันที่บ้าน ขนสัมภาระ ในการเดินทางมาเต็มเลย บอกว่าเพิ่งออกมาจากป่าเขตชายแดนเขมร ฉันถามแกว่าเข้าไปในป่าทำไม แกบอกว่า เมื่อได้ข่างเรื่องทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ของปราสาทหินพนมรุ้งที่ได้คืนมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา และนักวิชาการเกิดสงสัยว่าไม่ใช่ของแท้ ทำให้แกต้องเดินทางไปศึกษาถึงที่ไปที่มา เพราะอยากรู้ว่าทับหลังหายไปตั้งแต่เมื่อไร ใครเป็นคนเอาไป แล้วเป็นของจริงหรือของปลอมทีแรกแกบอกว่าจะไปหาฉัน อยากได้ข้อมูลและจะชวนฉันไปด้วย แต่รู้ว่าฉันไม่ค่อยสบาย เลยตัดสินใจไปคนเดียว” ครูเอื้อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ก่อนที่เล่าต่อ
ผมและสดนั่งนิ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

“สด, แกเล่าให้ฉันฟังต่อไปว่า ได้พบกับพวกที่ขโมยทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ซึ่งตอนนี้ยังเหลืออยู่ 2 คน ก็มีลุงเชื้อ และลุงอะไรอีกคนจำชื่อไม่ได้ ทั้งคู่ตั้งหลักปักฐานอยู่ในป่า ไม่กล้ากลับเข้ามาในเมืองทั้งๆที่คดีสิ้นสุดไปนานแล้ว เพราะกลัวไข้โป้ง

ลุงเชื้อเล่าให้แกฟัง ขณะที่นั่งล้อมวงกันอยู่ที่กระท่อมในป่าว่า ในช่วงที่ขโมยทับหลังนั้นพวกเขาเป็นครูโรงเรียนประชาบาลที่บ้านตาเป็กนั่นแหละ ก็ขึ้นไปบนเขาพนมรุ้งบ่อยๆมีทางลัดขึ้นไปทางบ้านยายแย้ม ตอนนั้นมีถนนขึ้นเขาแล้วแต่ยังไม่ได้ลาดยาง กองทัพอากาศก็ยังไม่ได้มาอยู่ บนเขามีศาลาใหญ่ เป็นวัดอยู่ข้างทางดำเนินหรือทางเดินใกล้กับบันไดนาคราชรูปกากบาท เสานางเรียงข้างทางดำเนินแตกหักล้มระเนระนาดอยู่ทั่วไป ที่ลานบนยอดเขามีกุฏิพระหลังเล็กๆตั้งแยกกันอยู่รอบปราสาทสามสี่หลัง ปราสาทประธานพังทลายลงมากองอยู่เป็นพะเนิน รอยพระพุทธบาทที่ประชาชนจะขึ้นไปนมัสการเป็นประจำทุกปีนั้นยังประดิษฐานอยู่ที่ปรางค์น้อย

ส่วนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่ว่า หล่นลงมาอยู่กับพื้นด้ายซ้ายหน้ามณฑปปราสาทประธาน แตกหักออกเป็นสองท่อน ก็ตั้งอยู่ที่นั่นแหละ ไม่มีใครสนใจหรอก เพราะไม่มีราคาค่างวดอะไรจนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีการติดต่อกันมาเป็นทอดๆจากหลายสาย ทั้งจากสุรินทร์และอยุธยา ให้นำทับหลังออกจากปราสาทให้ได้ มีแค็ตตาล็อก รูปถ่ายส่งมาพร้อม ราคาที่เสนอมาค่อนข้างงาม แต่ละชิ้นก็มีราคาแตกต่างกัน ว่ากันเป็นหมื่นๆ เงินหมื่นในสมัยนั้นก็มากโขอยู่

พวกเขาก็เลยรวมกันเป็นกลุ่ม ก็สี่ห้าคนนั่นแหละ งานอย่างนี้ทำคนเดียวไม่ได้ ต่างก็ฝันหวานกันไป แค่เอาทับหลังลงมาจากยอดเขาได้ก็รวยแล้ว

Comments are closed.