ลากุ้ยจิ๋ว

assจิปาถะ
ลากุ้ยจิ๋ว
ลาเป็นสัตว์ป่า มนุษย์ได้นำมาเป็นสัตว์เลี้ยงในเวลาใกล้เคียงกับม้า เมื่อประมาณ 3,000-4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช สำหรับคนไทยรับรู้เรื่องของลา จากนิทานต่างๆ เช่น นิทานอีสป ฯลฯ ในลักษณะที่มันเป็นสัตว์หน้าโง่ และมักจะเรียกคนที่ทำอะไรโง่ๆว่า โง่เหมือนลา และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของลาโง่
ลากุ้ยจิ๋ว เป็นเรื่องจากหนังสือ “หลิ่วหอตงจี๋” ของจีน แต่งโดย หลิ่วจงเอี๋ยน นักเขียนที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ถัง เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีต มณฑลกุ้ยจิ๋ว ไม่มีลา ได้มีกระทาชายนายหนึ่ง นำลาจากที่อื่นมา 1 ตัว เมื่อนำมาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้ จึงได้ปล่อยให้มันอยู่ตามยถากรรมแถวเชิงเขา เสือในมณฑลกุ้ยจิ๋วก็ไม่เคยเห็นลามาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์อะไร เห็นมีรูปร่างใหญ่โต จะมีพิษสงมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่รู้ จึงไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่ด้อมๆมองๆอยู่ห่างๆ ในเวลาต่อมา ในขณะที่เสือด้อมๆมองๆเข้ามาใกล้ลานั้น ลาเห็นเสือจึงร้องเสียงดังลั่น ทำให้เสือตกใจกระโดดหนีเข้าป่าไป แต่ต่อมาเสือก็รู้ว่า ลาได้แต่ร้องเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรที่น่าเกรงขามแต่อย่างใด แต่เสือก็ยังไม่ค่อยกล้าอยู่ดี ได้แต่ด่อมๆมองๆและเริ่มกระเถิบเข้าไปใกล้ลามากยิ่งขึ้น และเริ่มรู้สึกว่า เจ้าลาไม่เห็นมีความสามารถพิเศษอะไร ได้แต่ร้องเท่านั้นเอง ต่อมาเสือได้เดินเข้าไปกระทบตัวลาเข้า และอาจจะกระทบแรงไปหน่อย ลาเกิดโมโหเลยยกขาถีบเสือเข้าให้ เสือถูกลาถีบแทนที่จะโกรธ แต่กลับดีใจที่ได้รู้แจ้งว่า เจ้าลาโง่นั้นมีความสามารถเท่านั้นเอง จึงคำรามและกระโดดเข้าขย้ำคอทันที กินเนื้อหนังจนอิ่มหมีพีมันแล้วก็เดินจากไป หลิ่วจงเอี๋ยน กล่าวว่า เขาเขียนเรื่องนี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจผู้คนทั่วไปว่า “อย่าได้ทำตัวให้เป็นคนที่ไม่รู้จักสภาพที่แท้จริงของตน แล้วเที่ยวไปแสดงความเก่งความซ่า ซึ่งอาจไปเจอคนเก่งคนซ่ากว่า และผลสุดท้ายอาจประสบภัยพิบัติได้” (ส.สุวรรณ.23)
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าทำตัวเป็นลา
…………
อ้างอิง
ส.สุวรรณ.(2541).สำนวนจีน.พิมพ์ครั้งที่ 3 .กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิราบ.

 

Comments are closed.