จิปาถะ
เรื่องสั้น หัวใจเปื้อนชอล์กตอน “ไม่สะใจโก๋ 3”
11
เมื่อแดดร่มลมตก บริเวณลานบ้านของครูสตางค์รูที่ปรับให้เป็น สตูดิโอกลางแจ้ง เพื่อทำงานจักสานที่เขาชื่นชอบ ซึ่งทำให้บริเวณดังกล่าวดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ยิ่งมีพวกเด็กๆมาชุมนุมอยู่เพื่อฟังนิทานที่ครูสตางค์รูจะเล่า ยิ่งทำให้บรรยากาศชดชื่น มีสีสันมากขึ้น เห็นแล้วรู้สึกสบายทั้งกายและใจ และตอนนี้พวกเด็กๆได้เริ่มทยอยกันมาตามเวลานัด เพราะเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่พวกเขาจะได้นำเสนอเรื่องราวที่ครูสตางค์รู Assign (มอบหมาย) งานให้เป็นการบ้าน คือ ให้ฝึกการเขียนนิทานแล้วมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง จะคิดเรื่องขึ้นเอง หรือปรับจากนิทานของคนอื่นก็ได้ หรือเขียนเรื่องตามที่ตนเองต้องการก็ได้ ให้อิสระเต็มที่ เด็กๆทุกคนคงทำการบ้านมาพร้อมเพียง เพราะดูกระตือรือร้นที่จะได้เล่าเรื่องของตนเองก่อนคนอื่น และเมื่อต้องตัดสินว่าใครจะได้เล่าก่อน-หลัง ก็ไม่มีวิธีใดที่ทุกคนจะยอมรับได้เท่ากับการจับสลาก และเด็กชายเขียว เขียวขจี จัดสลากได้เล่าเรื่องของเขาเป็นคนแรกในวันนี้
เด็กชายเขียว เขียวขจี เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะแก่นแก้ว รูปร่างสันทัด ผิวเนื้อดำแดง เป็นคนมีพิษสงรอบตัว แต่ก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ถึงแม้จะเป็นเด็กที่ตัวเล็กกว่าคนอื่นแต่ก็ไม่ค่อยยอมใครง่ายๆ เขายืนขึ้นกลางที่ชุมนุม มือขวาถือกระดาษที่เป็นหัวข้อเรื่องที่เขาจะเล่าในวันนี้ เขามีอาการประหม่าเล็กน้อย
จึงมองไปที่ครูเพื่อเรียกความมั่นใจ ซึ่งครูก็ผงกศีรษะให้ เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องของเขาดังนี้
12
“สวัสดีครับ คุณครูที่เคารพและเพื่อนๆทุกคน
ก่อนอื่นผมต้องขออภัยกับภาษาที่ผมจะใช้เล่าเรื่องในวันนี้ ซึ่งเป็นภาษาที่ทั้งครูและเพื่อนๆอาจจะไม่ค่อยคุ้นหู ทั้งนี้เพราะแม่ผมเป็นแม่ค้าขายของอยู่ในตลาดสด ภาษาพวกนี้ผมได้ยินอยู่ทุกวันจนชินหู เช่น อ๊วกแตก ซื่อบื้อ เห่ย เป็นต้น เป็นภาษาที่พวกแม่ค้าแม่ขายใช้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่คุ้นหู ก็อาจจะฟังดูหยาบ แต้ถ้าคุ้นหูแบบผมก็ดูเป็นธรรมชาติดี คำเหล่านี้เขาเรียกว่าคำคะนอง และผมก็ชอบใช้มาก เพราะเป็นคำที่วัยรุ่นชอบใช้ และผมก็เป็นวันรุ่นเยาว์เหมียนกัน ก็อย่าว่ากันนะครับ เพราะผมเป็นลูกแม่ค้า และเป็นคนรุ่นใหม่ อีกอย่างมันเป็นสไตล์ของผมด้วย
เมื่อเด็กชายเขียว เขียวขจี เกริ่นมาถึงตรงนี้ ก็มีเสียงเด็กชายโกรง ซึ่งมีรูปร่างท่าทางก๋องแก๋ง ถามขึ้นมาว่า “คำคะนองมันคืออะไรครับ”
เด็กชายเขียว เขียวขจี ตอบอย่างฉาดฉานเพราะได้เตรียมตัวมาอย่างดีว่า “คำคะนองนั้น ท่านผู้หญิงสมโรช สวัสดิกุล ณ อยุธยา ได้แสดงความเห็นว่า น่าจะพอเทียบได้กับคำว่า slang (แสลง) ในภาษาอังกฤษ” (พจนานุกรมคำแสลง.2543.คำนำ) คำคะนอง เป็นคำที่เด็กวัยรุ่นชอบใช้ เพราะเป็นวัยที่กำลังคึกคะนอง อยากคิดอยากทำอะไรหมื่นๆ และภาษาก็เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่วัยรุ่นนำมาใช้ในการแสดงออก”
เด็กชายโกร่งอุทานออกมาว่า “อ๋อ! อย่างนี้นี่เอง อิ๊อิ๊” (อิ๊ ฮิ๊ = ฮิ ฮิ )
แต่เด็กชายเขียว เขียวขจี ยังอยากอธิบายต่อ จึงอธิบายต่อไปอีกว่า “ภาษาคะนองนี้มิใช่ว่าเพิ่งเกิดขึ้น มีมานานแล้ว พร้อมอ้างหลักฐานในหนังสือ “อนันตวิพากย์ ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ว่า เป็นคำอย่างไรและควรใช้อย่างไรด้วย “ความว่า “สยามพากย์นั้น คือ คำพูดภาษาไทยชั้นเก่าและชั้นใหม่ ทั้งคำแผงและคำตรง ให้รู้จักคำสูง คำต่ำ คำหยาบ คำละเอียด คำละเมียด คำคะนอง ผ่อนใช้ให้ต้องตามความ” (อ้างจากกิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์ .2545:39 )
แล้วเสริมว่า “ผู้ใหญ่ที่หัวโบราณมักจะไม่ค่อยพอใจ คิดว่าเป็นภาษาวิบัติ แต่นั่นแหละ ภาษานั้นมีชีวิต พัฒนาไปตามยุคสมัย ถ้าคำไหนไม่ดี เดี๋ยวก็จะเลิกนิยมไปเอง แต่อย่านึกว่าคำคะนองไม่สำคัญนะครับ ถ้าไม่สำคัญจะมี พจนานุกรมคำคะนอง ของกระทรวงศึกษาธิการได้อย่างไร
และเมื่อเด็กชายเขียว เขียวขจี เห็นว่าทุกคนเข้าใจดีแล้ว ก็พูดต่อไปว่า “เรื่องที่จะเล่าวันนี้ไม่ใช่เรื่องจริงนะครับ เป็นเรื่องที่ผมสมมุติขึ้นเอง เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาจอมโหด ที่จองล้างจองผลาญผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไม่ลดละ ชนิดถึงพริกถึงขิงกันทีเดียว เรื่องนี้เกิดขึ้นที่สถานศึกษาแห่งหนึ่ง ซึ่งคู่กรณีเป็นสุภาพสตรีทั้งคู่ รับรองความ “มัน” ต่อไปนี้เป็นเรื่องของเธอทั้งสองครับ
…
ยังมีต่อ
..
กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์ .(2545).เรียนภาษาไทยง่ายๆจากครูลิลลี่.พิมพ์ครั้งที่ 15.กรุงเทพฯ:สุดสัปดาห์สำนักพิมพ์.
กระทรวงศึกษาธิการ.(2543).แนวทางการจัดทำพจนานุกรมคำคะนอง คู่มือศึกษาคำคะนอง.กรุงเทพฯ.กรมวิชาการ.