จิปาถะ เรื่องสั้น เหตุเกิดที่สารขัณฑ์  (หมดคำจะเขียนแล้ว)

วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2566

จิปาถะ เรื่องสั้น เหตุเกิดที่สารขัณฑ์  (หมดคำจะเขียนแล้ว)

8

และเมื่อวานนี้ ก็เป็นไปตามที่คาดหมาย คือ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ทั้ง 2 คดี เป็นอันว่า คดีความที่อีลากไส้ เป็นโจทก์ฟ้องอาจารย์และพนักงานในข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกดูถูกเกลียดชัง ถึงที่สุดแล้ว คือ อีลากไส้ แพ้ทุกคดี

ส่วนคดีที่อีลากไส้ฟ้องนักศึกษาซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และอีลากไส้อุทธรณ์นั้น ยังไม่จบ ศาลรับอุทธรณ์แล้ว และนักศึกษาจะต้องยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาล จากนั้นก็ต้องรอ ทารุณกรรมเด็กจริงๆ ทำได้ไง?

ความจริงแล้ว เรื่องคดีหมิ่นประมาทที่อีลากไส้ฟ้องนี้ มีแค่ 3 คดีเท่านั้น คือ คดีที่ 1 ฟ้องอาจารย์และพนักงานที่เขียนป้ายประท้วง จำนวน 9 คน คดีที่ 2 ฟ้องอาจารย์และพนักงาน จำนวน 7 คน ที่ทำหนังสือถึงสภาฯ เพื่อตรวจสอบสถานภาพของอีลากไส้ และคดีที่ 3 ฟ้องนักศึกที่เขียนป้ายประท้วง

แต่คดีที่ฟ้องอาจารย์ 2 คดี นางแต้มแยกฟ้องทั้งศาลสารครามบุรี และศาลสารขัณฑ์ โดยแยกพยานทำให้เกิดคดีลูกหลานออกมาเป็นพวงใหญ่ และก็จบลงทั้งพวงใหญ่แล้วเมื่อวานวันนี้ เหลือแต่คดีนักศึกษาเท่านั้น ส่วนที่อีลากไส้และพวกจะถูกฟ้องกลับนั้น คงจะทยอยตามมาเรื่อยๆ สนุกละครับ

จากความวุ่นวายเรื่องคดีความที่สารขัณฑ์ที่อีลากไส้ฟ้องลูกเดียวไม่ว่าเรื่องอะไรนั้น ได้สร้างความวุ่นวายไปทั้งศาลที่ต้องทำงานไม่เป็นเรื่องเป็นราว และครูบาอาจารย์ต้องเสียเวลา เสียเงินเสียทองไปเป็นจำนวนมาก แต่ที่เสียมากๆก็คือ ความรู้สึก มันเกิดขึ้นเพราะไอ้เวรตะไล Kovid แท้ๆ ที่เห็นแก่ประโยชน์ตน สนับสนุนคนไม่ดีให้ขึ้นมามีอำนาจ ก่อความวุ่ยวาย  ตรงตามพระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 6 ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี วันที่ 11 ธันวาคม 2512 ความว่า “….ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้…”

เห็นไหมล่ะ แค่สนับสนุนคนชั่วคนเลวเพียงคนเดียว ปัจจุบันมีคนชั่วคนเลวเพิ่มขึ้นเป็นฝูงใหญ่  ช่างชั่วชาติจริงๆ ไอ้เวรตะไล Kovid เอ้ย!

ส่วน ผศ.ดร. La Ph บอกว่า “หญิงแก่” ผู้กระสันอยากจะเป็นผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นตลอดชีวิต แต่ไม่เคยมี จิตสำนึกในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างแท้จริง แล้วจะให้ผู้ทรง???ที่ลากจูงกันเข้ามารู้จักหน้าที่และให้เกียรติคนในท้องถิ่นได้อย่างไร…จึงไม่ต่างกับ “ผีเน่ากับโลงผุ” ที่นับวันก็จะส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง และสร้างตราบาปให้บุคลากรและคนท้องถิ่นอย่างไร้ยางอาย”

และ ผศ.ดร.ชลิดา ภัทรศรีจิรากุล ถึงกับเหนื่อยหน่าย บอกว่า “ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมเถอะ ทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหมดคำจะเขียนแล้ว”

….

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *