
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2566
จิปาถะ เรื่องสั้น เหตุเกิดที่สารขัณฑ์ (จะให้ยอมแพ้ได้อย่างไร)
30
1.การมีคดีความ เพียงแค่เริ่มต้นก็เหนื่อยเสียแล้ว จะเหลือพลังสักเท่าไรที่จะฟันฝ่าอุปสรรคความเจ็บปวดจากทั้งผู้ที่รู้จักคุ้นเคยและไม่รู้จักมักจี่มาก่อน แต่ชีวิตที่จมปลักอยู่กับการต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรมในสังคม จะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดก็พร้อมยอม และกำลังใจจากพวกพ้องน้องพี่และศิษย์ที่ห่วงใยเป็นเหมือนอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มชูกำลังที่ทำให้ฮึกเหิมและไม่ย่อท้อ เพียงคำพูดธรรมดาของทนายที่เป็นทั้งลูกศิษย์และเพื่อนที่ว่า “ผมอยากช่วยและทดแทนบุญคุณอาจารย์ครับ” เท่านั้น น้ำตาของผู้เฒ่าก็จะไหลแล้ว แล้วที่นี้จะให้ยอมแพ้ได้อย่างไรล่ะ
2. ณ ที่แห่งนี้ มหาลัยสารขัณฑ์ ดวงตะวันที่เคยเจิดจ้าแจ่มใส สุกสว่างแพรวพราว บัดนี้ดวงตะวันได้ลับหายไปหลายเพลาแล้ว เนื่องจากเมฆหมอกของความชั่วร้ายเข้ามาบดบัง หนาแน่นทึบตันจนยากที่แสงจะลอดผ่านได้ ในความมืดมิด ภัยร้ายมากมายอันน่าสพึงกลัว สร้างความเหงาและหว้าเหว่และสยองขวัญ เหมือนยามดึกสงัด ที่หลงยืนโดดเดียวอยู่ในป่าช้าที่เล่าขานกันว่าผีดุ และยิ่งลมเย็นพัดผ่านอย่างแผ่วเบามาสัมผัสใบหน้าที่ขาดกลัว ตื่นตะหนก กลิ่นสาบสางโชยมาพอให้รู้สึกได้ เสียววาบเลยครับ 555 ขนาดเขียนเองยังกลัวเลย มิน่าเล่า ถึงได้โดนฟ้อง
แต่ในความมืดมิดนั้น ยังพอมีแสงริบหรีที่เป็นสัญลักษณ์ของความหวังที่ว่า วันหนึ่งท้องฟ้าจะเปิดโล่ง แสงสว่างจะกลับเจิดจ้า ชุบชีวิตของสรรพสิ่งที่อับเฉา ณ ที่แห่งนี้ให้บรรเจิดอีกครั้ง
คำพิพากษาของทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ของคดีหมิ่นประมาททั้งหลายที่นางแต้มเป็นโจทก์ฟ้อง ทั้งคดีของอาจารย์และพนักงาน 7 คน และ 9 คน รวมทั้งของนักศึกษ กำลังจะจบลง บ่งบอกว่า ยุคสมัยของสิ่งชั่วร้ายบรรดามีกำลังจะผ่านพ้นและพ่ายแพ้ไป ความสูญเสีย ความเจ็บปวด และความทุกข์ทรมานกำลังจะถูกสับเปลี่ยน ถ่ายโอนไปสู่อีกฟากหนึ่ง ฉะนั้น จึงทำนายได้เลยว่ามันจบเห่แน่นอน ครับ ทายผิดมาหลายครั้งแล้ว แต่ความนี้การันตีได้เลยว่า “ไม่มีทางผิด”
….