จิปาถะ
การสร้างสรรค์งานศิลปะ จากงานวิจัย
1
มีบางคนชอบดูพูดถูกตัวเองว่า เป็นคนไม่มีศิลป์ หรือพูดเป็นปกติว่า “ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้” เมื่อดูงานศิลปะ เช่น ดูภาพเขียน หรือภาพจิตรกรรม ก็จะดูไปอย่างนั้นเอง ดูไปดูมาก็อดแคลงใจไม่ได้ว่า พวกนี้เขาเขียนภาพอะไรกันนะ ดูไม่เห็นรู้เรื่องเลย แถมยังตั้งราคาแพง ขายกันเป็นหมื่นเป็นแสนอีกด้วย ไม่รู้จะซื้อเอาไปทำไม และยิ่งได้มีโอกาสเห็นศิลปินสร้างสรรค์งานก็ยิ่งงงไปใหญ่ เห็นเอาสีต่างๆมาปาดป้ายลงบนผืนผ้าใบ จิ้มตรงโน้นที จิ้มตรงนี้ที เขียนแป๊บเดียวก็บอกว่าเสร็จแล้ว ราคาขายเป็นพันเป็นหมื่น นี่มันคืออะไรกันแน่
2
คำตอบที่ไม่มีเอกสารอ้างอิงก็คือ ศิลปินจะสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากการสะสมประสบการณ์และทักษะความสามารถเฉพาะตัว แต่ก่อนที่เขาจะสร้างสรรค์งาน หรือเขียนรูปอะไรขึ้นมาสักรูปหนึ่ง เขาจะใช้เวลาศึกษาค้นคว้าเรื่องราวที่เขาจะเขียน จินตนาการรูปแบบโดยการสเก็ต เพื่อให้ได้รูปแบบตามสิ่งที่เขาต้องการแสดงออก เขาคิดเขียน ออกแบบบนกระดาษ บนโต๊ะกาแฟ หรือที่ไหนก็ตาม เมื่อเขาเกิดนึกอะไรขึ้นได้ตอนนั้น แก้ไขปรับปรุงจนสามารถนำเสนอรูปแบบของความคิดที่เขาต้องการ และเมื่อลงมือเขียนจริง เขาก็จะใช้เวลาเขียนไม่มากนัก ในการสำแดงสิ่งที่เขาต้องการออกมา แต่บางครั้งก็ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเสร็จ และเมื่อเราได้ดูผลงานที่เขาสร้างสรรค์ บางทีเราก็แทบจะไม่เข้าใจอะไรเลย นอกจากศิลปินจะอธิบายสิ่งที่เขาสร้างสรรค์นั้นให้เราฟัง แต่นั่นแหละ ศิลปินก็จะไม่อธิบายอะไร เพราะศิลปิน คือผู้สร้างสรรค์งาน ไม่ใช่ผู้อธิบายงาน จึงเห็นได้ว่า การสร้างสรรค์งานของศิลปินนั้น เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกมากว่า ไม่มีระบบระเบียบอะไรแน่นอน
3
แต่ในปัจจุบัน มีการเรียนการสอนศิลปะถึงระดับดุษฏีบัณฑิต ผู้ศึกษาในระดับนี้หรือระดับอื่นๆจะสร้างสรรค์งานศิลปะแบบเดียวกับศิลปิน แต่เนื่องจากเขาเป็น “ศิลปินบัณฑิต” เขาจะต้องสามารถอธิบายผลงานของเขาให้คนอื่นเข้าใจได้ มีการศึกษาวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัยอย่างเป็นระบบ จนได้คำตอบของสิ่งที่เขาต้องการจะนำเสนอ มีรายงานวิจัยที่เป็นรูปเล่มชัดเจน จากนั้นจึงนำสิ่งที่เขาศึกษาค้นคว้านั้น มาคิดค้นรูปแบบ เพื่อสื่อสิ่งที่ได้ศึกษานั้นออกมาเป็นผลงานสร้างสรรค์ ซึ่งปัจจุบันมีการให้ทุนวิจัยสร้างสรรค์แก่ผู้ที่ทำงานศิลปะด้วย ซึ่งก็คงจะไม่ได้หมายความว่าเขียนรูปขอทุนอย่างเดียว แต่ต้องมีรายงานการวิจัย ประกอบผลงานสร้างสรรค์ ดังนั้น เมื่อเราดูผลงานของเขา เราก็จะสามารถเข้าใจได้ ว่าผู้สร้างสรรค์งานนั้นเขาต้องการสื่ออะไร สื่อได้ตรงตามที่ศึกษามาหรือไม่ ผลงานสร้างสรรค์มีคุณค่าทางความงาม ทั้งทางด้านรูปแบบและเนื้อหาหรือไม่อย่างไร ขอยกตัวอย่าง งานจิตรกรรมสื่อผสม : ความกลัวในวิถีชีวิต PAINTING MIXED MEDIA : FEAR IN THE WAY OF LIFE หัวข้อวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาดุษฏีบัณฑิต คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2554 ของนางสาวสมาพร คล้ายวิเชียร ซึ่งเป็นงานสร้างสรรค์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารวบรวมความเชื่อของคนไทยเกี่ยวกับความกลัวในวิถีชีวิตที่ถ่ายทอดออกมาเป็นสัญลักษณ์ในการป้องกันภัย และนำสัญลักษณ์ตามความเชื่อที่ได้ศึกษามาสร้างผลงานจิตรกรรมสื่อผสม ซึ่งการวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีขั้นตอนคือ
1) ศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องทางศาสนา ความเชื่อ จิตวิทยา และศิลปะ เพื่อกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย
2)สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมสื่อผสม
3) วิเคราะห์ผลงานจิตรกรรมสื่อผสมในด้านรูปแบบ ความงาม และการสื่อความหมาย โดยใช้ทฤษฏีสีของโคบายาชิ ทฤษฏีการวิเคราะห์หาค่าความสัมพันธ์ระหว่างส่วนมูลฐานทางศิลปะและหลักการทางศิลปะของ ยีน มิทเลอร์ (สมาพร.2554.4)
4
จากที่นำเสนอมาก็เพื่อจะแบ่งผู้สร้างสรรค์งานศิลปะออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มศิลปิน กับกลุ่มศิลปินบัณฑิต ซึ่งทั้งสองกลุ่มจะใช้วิธีในการสร้างสรรค์งานศิลปะในลักษณะเดียวกัน คือ ศึกษาข้อมูลจนถ่องแท้แล้ว ก็สร้างสรรค์ผลงานที่ต้องการ จะแตกต่างกันตรงที่ กลุ่มศิลปินบัณฑิต จะมีรายงานการวิจัย การออกแบบตามข้อค้นพบจากงานวิจัย และสร้างสรรค์ผลงานเพื่อตอบโจทย์งานวิจัยที่ศึกษานั้น สำหรับครูศิลปะ นี่คือทางเลือกหนึ่ง ในการสร้างสรรค์งานเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ
แต่ถ้าอยากจะเขียนแต่รูปอย่างเดียว ก็ไม่ว่ากัน
…..
สมาพร คล้ายวิเชียร.2554.จิตรกรรมสื่อผสม : ความกลัวในวิถีชีวิต.วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปกรรมศาสตร์ดุษฏีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย