
วันพุธที่ 24 สิงหาคม 2565
จิปาถะ เรื่องสั้น เหตุเกิดที่สารขัณฑ์ (ทางสว่างอีกด้าน)
24
ถ้าเราแข็งเหมือนหิน ก็ไม่มีใครกล้ามาบีบเราเพราะกลัวเจ็บมือ แต่ถ้าเราอ่อนเหมือนแป้งปั้น ใครๆก็อยากจะบีบอยากจะขยำเรา เมื่อเราถูกบีบ เราก็จะหาทางเล็ดลอดออกไปจนได้ เหมือนบีบแป้งที่ลอดผ่านช่องออกไป และตอนนี้อีแต้มกำลังสั่งให้ ไอ้ส่งเดช บีบ,ขยำ กีดกันและขัดขวาง หญิงกล้าทุกทาง เพื่อจะหยุดยั้งไม่ให้เธอสามารถอุทธรณ์และร้องทุกข์ต่อ กพอ. ได้ทัน
ครับ อยากจะบีบ อยากจะขยำ อยากจะเค้น หรืออยากจะทำอะไรตามแต่ใจเถอะครับ เรื่องนี้ ดูเหมือน ผศ.ดร ชลิดา จะเคยพูดไว้ว่า “คิดมุมบวก ผู้ที่โดนกระทำ อาจพบทางสว่างอีกด้าน” หมายความว่า เราอาจได้รับผลดีจากการถูกบีบถูกกีดกันก็ได้
เรื่องนี้ผมมีประสบการณ์ ตอนอยู่ ม.กรุงเก่า อธิการบดี รศ.ดร.บุหงา เกลียดผมมาก เมื่อผมมีปัญหากับกรมศิลปากร เพราะผมประท้วงการถ่ายหนังโป้ในวัดมหาธาตุ และเนื่องจากผมมีเศษกระเบื้องหลังคาโบสถ์อยู่ในครอบครอง เมื่อถ่ายหนังเสร็จ อธิบดีกรมศิลปากร นายสมคิด ให้ลูกน้องขออนุญาตผู้ว่าและอธิการบดี นำตำรวจเข้ามาจับกุมผมถึงในมหาวิทยาลัย หลักจากประกันตัวแล้ว ผมก็ต้องใช้หลักฐานเอกสารที่อธิการต้องเซ็นรับรอง ซึ่งท่านก็กีดกันขัดขวางผมทุกอย่าง มีเอกสารสำคัญที่ผมต้องส่งให้ตำรวจ แต่เป็นช่วงที่ท่านไม่อยู่ไปราชการ ผู้รักษาราชการแทนก็ไม่กล้าออกให้ โทรไปขออนุญาท่านก็ไม่ยอม สุดท้ายเมื่อผมได้เอกสาร ผมก็นำไปให้ตำรวจ แต่ช้าไปเสียแล้ว ตำรวจส่งสำนวนไปที่อัยการจังหวัดแล้ว
ผมนำเอกสาร ตามไปส่งที่อัยการจังหวัด แต่ไม่สามารถนำเอกสารเข้าในสำนวนได้ อัยการเสนอแนะว่า ให้ทำเรื่องร้องเรียนจึงจะสามารถนำเอกสารเข้าในสำนวนได้ และจากที่ผมร้องเรียน เป็นผลให้คดีของผม อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด หมายความว่า ไม่สามารถรื้อฟื้นคดีนี้ได้อีก ตรงกับที่ อ.ชลิดาว่า “ ผู้ที่โดนกระทำ อาจพบทางสว่างอีกด้าน”
ดังนั้น เมื่อผมถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาท จากอธิบดีกรมศิลปากร สมัยนายนิคม กรณีการประดิษฐานพระบรมรูป ร.1 ที่บุรีรัมย์ กรมศิลปากรจึงไม่สามารถนำคดีที่ กรุงเก่า ที่ผมผิด 100 % มาจัดการผมได้ ส่วนคดี ร. 1 อัยการสั่งไม่ฟ้องเพราะผมไม่ผิด
ขออภัยที่เขียนเรื่องตัวเองครับ แต่เพื่อโยงให้เห็นว่า กรณีการกลั่นแกล้งกีดกันหญิงกล้า อาจทำให้เธอพบทางสว่างอีกด้านก็ได้ ใครจะไปรู้
…