จิปาถะ
เรื่องสั้น หัวใจเปื้อนชอล์กตอน “สะใจโก๋ 1”
5
เมื่อครูสตางค์รูเล่านิทานเรื่อง “นักล่าสาว” ซึ่งปรับมาจากนิทานอิสป เรื่อง “นักล่าสัตว์กับสิงโต” จบลง เด็กชายแก้ว
แก้วไทย ลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ครูครับ”
ครูสตางค์รูจึงถามว่า “มีอะไรหรือแก้ว”
“ผมว่า ครูน่าจะจบแบบที่น่ากลัวกว่านี้นะครับ นางสาวแต้มมันจะได้กลัว”
“แล้วแก้วคิดว่าควรจะจบอย่างไรดีล่ะ” ครูสตางค์รูถาม
“ผมว่าควรจบด้วยความเครียดแค้นชิงชังของสิงโต เช่น “วิญญาณข้าจะตามล้างตามผลาญเจ้าตลอดไป”
เด็กทุกคนร้องไชโย อย่างสะใจ “ดี…ดี มันจะต้องถูกวิญญาณสิงโตแม่ลูกอ่อนติดตามจองล้างจองผลาญจนถึงที่สุด มันจะได้สำนึกถึงความเดือดร้อนของคนอื่นเขาบ้าง”
“แสดงว่าเรื่องยังไม่จบนะซิ แก้ว” ครูว่า
“ใช่ครับ ต้องมีการล้างแค้น ตามล้างตามเช็ดแบบหนังจีนครับ”
“แล้วเรื่องจะไปอย่างไรอีกล่ะ” ครูสตางค์รูโยนคำถาม
เด็กชายแก้วนั่งนิ่ง เขากำลังใช้ความคิด
6
สามนาทีต่อมา เด็กชายแก้ว แก้วไทย แสดงความเห็นว่า
“เรื่องอาจจะเป็นทำนองนี้นะครับ…เมื่อสิงโตแม่ลูกอ่อนนอนแน่นิ่งตายไปแล้ว พวกสามสาวนักล่าก็เตรียมตัวเดินทางกลับ เพราะได้แสดงสมรรถภาพให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ก่อนกลับพวกเขาพากันถ่ายภาพท่าต่างๆไว้เป็นที่ระลึก เช่น ท่ายืนเหยียบแม่สิงโตที่นอนแอ้งแม้งอยู่บ้าง ท่ายืนใช้ปลายปืนจ่อที่หัวสิงโตบ้าง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนหนำใจแล้ว ก็จะพากันกลับ ก่อนกลับนางสาวแต้มหันมาแสยะยิ้มจนปากบิดกับซากสิงโต เธอตกใจกลัวจนต้องรีบเดินตามไปเข้ากลุ่มและปิดปากเงียบ เพราะเธอเห็นสิงโตแสยะยิ้มตอบเธอ
ทันใดนั้นท้องฟ้าที่สว่างไสวกลับมืดครึ้มลงชั่วขณะ เมฆสีม่วงแดงคล้ำปรกคลุมไปทั่ว บรรยากาศเงียบเหงาวังเวงจนน่ากลัว จากนั้นท้องฟ้าก็กลับสว่างไสวเจิดจ้าดังเดิม
7
สิ่งที่ปรากฏหลังเหตุการณ์นั้นก็คือ แม่สิงโตกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ มันขยับตัวและใช้ขาหน้ายันพื้นลุกขึ้นยืนและส่งเสียงคำรามลั่นป่า สามสาวนักล่าตกใจหันหน้ากลับมาดู ทุกคนร้องเสียงหลงหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษถ่ายเอกสาร เอ 4 เมื่อได้สติ ต่างก็วิ่งหนีเอาตัวรอดไปคนละทิศคนละทาง ตัวนางสาวแต้มนั้นเผ่นเข้าไปในป่าใหญ่รวดเร็วราวกับพังพอนหลบหลีกการฉกจากงูเห่าคู่ต่อสู้ เธอหวังว่าจะใช้ต้นไม่เป็นที่กำบัง
แม่สิงโตเดินไปดูลูกๆซึ่งตายสนิทด้วยสายตาละห้อย มันส่งเสียงคำรามอีกครั้งอย่างโกรธแค้น แล้วจึงเดินตามนางสาวแต้มไปติดๆ มันเดินช้าๆอย่างสงบ นิ่ง ไร้อารมณ์ ซึ่งได้สร้างความกดดันและความระทึกใจให้แก่นางสาวแต้มเป็นล้นพ้น เธอวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตจนเหนื่อย หน้าตาขะมุกขะมอมเต็มไปด้วยเหงื่อ ชุดซาฟารี ฉีกขาดจากหนามแหลม มีเลือดซึมที่รอยขาดของเสื้อและกางเกง เนื้อตัวแสบไปหมดจากพิษบาดแผล
8
ตอนนี้เธอมีแต่มือเปล่า เช่นเดียวกับสิงโต เพราะปืนผาหน้าไม้ของเธอได้หลุดมือไปตั้งแต่เห็นสิงโตขยับตัวลุกขึ้นแล้ว ดังนั้นสิงโตจึงเป็นฝ่าย Advantage (ได้เปรียบ) นางสาวแต้มไม่กล้าที่จะหยุดพัก เพราะเห็นสิงโตเดินตามมาติดๆ สุดท้ายเมื่อต้องเผชิญหน้ากัน แทนที่ทั้งคู่จะยืนจ้องหน้ากันต่อหน้ากรรมการแบบนักมวยก่อนการชก แต่นางสาวแต้มกลับรวบรวมความกลัวทั้งหมดที่มีอยู่ ปีนหนีขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ เพราะคิดว่า เป็นทางเดียวที่จะเอาชีวิตรอดได้ สิงโตเดินไปหยุดที่ใต้ต้นไม้และล้มตัวลงนอน มันนอน “คอย” อย่างสบายอารมณ์”
“แล้วอย่างไรต่อล่ะ” เด็กชายอิฐ สีแสด ถาม
เด็กชายแก้วตอบว่า “จบแค่นั้นแหละ คนฟังต้องจินตนาการต่อเอาเองบ้าง”
……