เรื่องสั้น หัวใจเปื้อนชอล์ก ตอน ถูกค้น (4)

polis

จิปาถะ

เรื่องสั้น หัวใจเปื้อนชอล์ก ตอน ถูกค้น (4)

12

“เรานี่ต้องเสียสติแน่ๆเลย” กระสอบป่านคิดในใจ มีอย่างที่ไหน กำลังชื่นชมความงามของเงาต้นไม้ในน้ำที่ไหวพลิ้วไปตามกระแสน้ำอยู่ดีๆ  ทำไมถึงได้คิดเตลิดไปที่ การค้นตัวบุคคล และเวลาค้น และหาเรื่องมาโม้เป็นตุเป็นตะไปเรื่อยเปื่อย  กระสอบป่านใช้มือทั้งสองกุมศีรษะเพื่อเรียกสติกลับคืนมายังแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าตามเดิม  เขาค่อยๆเดินอย่างระมัดระวังลงไปยังริมฝั่ง ที่ต้องระมัดระวังเพราะตะหลิ่งชันมาก ดีไม่ดีอาจลื่นไถลลงไป ลุกขึ้นไม่ได้ เป็นอัมพาตไป  กลุ่มคนที่เกลียดชังเราก็จะพากันสมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ ให้เจ็บช้ำน้ำใจเปล่าๆ ฉะนั้นจะทำอะไรก็ต้องตั้งสติให้ดี ยิ่งมีกลุ่มคนที่ไม่ค่อยชอบหน้าเราอยู่มากๆด้วยแล้ว  ก็ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ  ดังนั้น เวลาจะเสียบปลัก ถอดปลักไฟพัดลม หรือกาต้มน้ำ ก็ต้องดู อย่าให้มือเปียกหรือชื้น เพราะถ้าเผลอถูกไฟดูดตายก็จบเรื่องเลย  กลุ่มคนที่เกลียดชังเราก็จะกลายเป็นคนพิการไปด้วย”

“เป็นคนพิการได้อย่างไรล่ะ” กระสอบป่านโต้แย้งความคิดของตัวเอง

“ได้ซิ สมมุติก็แล้วกันนะ สมมุติว่าขณะที่กลุ่มคนที่เกลียดชังเรานั่งประชุมกันอยู่ มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่า กระสอบป่านถูกไฟดูดตายเสียแล้ว กลุ่มคนพวกนั้นก็จะพากันดีอกดีใจหัวเราะจนฟันหักหรือหลุดล่วงไปคนละสองซี่สามซี่  เมื่อฟันหัก ก็เหมือนกับแขนหักนั่นแหละ เขาเรียกว่า “คนพิการ”

13

“ใช่ เรานี่ต้องเสียสติจริงๆ” กระสอบป่านคิดในใจ เพราะอยู่ดีๆก็คิดสถานการณ์สมมุติขึ้นได้อีกแล้วล่ะ

“ก็ไหนว่าจะเลิกคิดเลิกเขียนเรื่องนี้แล้วไงล่ะ” กระสอบป่านโต้แย้งตัวเองอีก

“ก็มันสนุกดีนี่ ได้ศัพท์ใหม่ๆตั้งหลายคำ เช่น การค้นในที่รโหฐาน คำว่า รโหฐาน ตามศัพท์แปลว่าที่เฉพาะส่วนตัว, ที่ลับ, ที่สงัด ถ้าใช้คู่กับใหญ่โต เป็น ใหญ่โตรโหฐาน หมายถึง ที่เฉพาะตัวที่กว้างขวางใหญ่โต”

“ก็ตามใจ อยากเขียนอะไรก็เขียนไปเถอะ เพราะมันเป็น จิปาถะ ซึ่งแปลว่า  เรื่องสารพัด, ทุกสิ่งทุกอย่าง,ไม่เลือกว่าอะไร”

“แล้วคราวนี้เป็นสถานการณ์สมมุติแบบไหนล่ะ” เขาถามตัวเอง

“สถานการณ์สมมุติที่เพิ่งคิดได้ใหม่ก็คือ “วันหนึ่ง กระสอบป่านได้รับจดหมาย อี เอ็ม เอส (Express Mail Service หรือ บริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ)

เมื่อเปิดออกอ่านก็รู้ว่าเป็นหมายเรียก จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งออกหมายเรียก โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญา พุทธศักราช 2477 มาตรา 52  ส่งถึงเขา ด้วยเหตุที่ต้องหาว่า ร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาด้วยเอกสาร จึงขอให้ไปพบเจ้าพนักงานสอบสวนเพื่อแก้ข้อกล่าวหา”

“ทำอย่างไรดีล่ะ” เขาคิด “และการเป็นผู้ต้องหานั้นมันอย่างไรกัน”

กฎหมายเขาว่าอย่างนี้ “ผู้ต้องหา” หมายความว่า บุคคลที่ถูกตำรวจจับดำเนินคดี  ส่วน “จำเลย” หมายความว่า ผู้ต้องหาที่ถูกฟ้องศาลแล้ว

14

“สรุปว่า เมื่อได้รับหมายเรียก ก็ต้องไปพบเจ้าพนักงานสอบสวนเพื่อแก้ข้อกล่าวหา”

“แล้วถ้าเราไม่ไปล่ะ จะเป็นอย่างไร”

“ก็จะมีหมายเรียกมาอีก ซึ่งตามปกติก็จะเรียกรวม 3 ครั้ง แต่ไม่แน่  บางทีเมื่อออกหมายเรียกฉบับแรกแล้ว ผู้ต้องหาไม่ไปแก้ข้อกล่าวหา  ต่อไปก็จะเป็นหมายจับ   ทางที่ดีก็ไปแก้ข้อกล่าวหาดีกว่า

เมื่อเราไปแก้ข้อกล่าวหากับเจ้าพนักงานสอบสวน ซึ่งก็หมายความว่า เราได้กลายเป็นผู้ต้องหาโดยสมบูรณ์แล้ว ตำรวจสามารถค้นตัวเราได้ตามกฎหมาย ฉะนั้น เวลาไปพบเจ้าพนักงานสอบสวนเพื่อแก้ข้อกล่าวหา อย่าได้พกพาสิ่งผิดกฎหายไปด้วยเป็นอันขาด

อีกประการหนึ่ง เมื่อท่านเป็นผู้ต้องหา เท่ากับว่าท่านถูกจับหรือถูกควบคุมตัว จึงไม่สามารถจะไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบอีกต่อไป จนกว่าจะได้รับการประกันตัว เช่นเดียวกับเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจค้นบ้านท่านตามหมายค้น นั่นหมายความว่า อำนาจการเป็นเจ้าของบ้านของท่านได้สิ้นสุดลงชั่วคราว สิ่งที่ท่านทำได้ก็คือยืนทำตาปริบๆดูตำรวจค้นข้าวของของท่าน  การค้นของตำรวจก็คล้ายๆกับพวกที่ชอบไปเลือกเศษอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุดที่พ่อค้าเอามากองขายที่ตลาดคลองถมนั่นแหละ เลือกกันกระจุยกระจายไปหมด  ตำรวจที่ค้นก็จะกระทำกับข้าวของของท่านอย่างไม่ปราณีปราสัยเช่นเดียวกัน  ฉะนั้นอย่าหาเรื่องให้ตำรวจมาค้นในที่รโหฐานของท่านอย่างเด็ดขาด เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มา ไม่ได้มากันแค่คนสองคนนะครับ มากันอย่างน้อย 2 โหลขึ้นไป

ขอจบแค่นี้ก่อนครับ “ทนเห็นภาพที่บรรยายมาไม่ได้”

……

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *