จิปาถะ เรื่องสั้น โจรขโมยเงินเดือน (สภาฯเถื่อน)
1
ผู้สันทัดกรณีได้แสดงความคิดเห็นว่า
“การประชุมสภามหาวิทยาลัยสารขัณฑ์ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2563 คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย ที่มีอำนาจในการพิจารณา ทางปกครอง มีสภาพร้ายแรงจนทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่มีความเป็นกลาง ซึ่งประกอบด้วย กรรมการสภาดังต่อไปนี้
1 นายกสภามหาวิทยาลัยสารขัณฑ์ เป็นผู้ลงนาม ในคำสั่งสภามหาวิทยาลัย อันเป็นเท็จ เพื่อแต่งตั้งนางแต้ม เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี ถึง 2 ครั้ง ในปี 2562 และ 2563
2 รองอธิการบดี ที่เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย
3 ประธานกรรมการ อุทธรณ์และร้องทุกข์ มหาวิทยาลัยสารขัณฑ์ ซึ่งเป็นผู้ลงนามในหนังสือ เปลี่ยนแปลงมติ ของคณะกรรมการ อุทธรณ์และร้องทุกข์ เพื่อประโยชน์ ของผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
4 กรรมการ อุทธรณ์และร้องทุกข์ มหาวิทยาลัยสารขัณฑ์ ที่มาจาก กรรมการสภามหาวิทยาลัย เพราะเป็นผู้ เปลี่ยนแปลงมติ จาก ให้นางแต้ม มีคำสั่ง ย้าย พนักงานมหาลัยกลับไปปฏิบัติหน้าที่เดิม เป็นนางแต้ม โยกย้ายพนักงานมหาวิทยาลัย ชอบด้วยกฎหมาย
5 กรรมการสภามหาวิทยาลัย จำนวน 3 คน ที่นำเอกสาร ของผู้ร้อง ไปให้นางแต้ม เป็น เป็นการเอื้อประโยชน์ ให้นางแต้ม ใช้เป็น หลักฐาน ในการฟ้องหมิ่นประมาท ต่อศาลจังหวัด
6 กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ทุกคน เป็นผู้ที่ นางแต้ม เป็นกรรมการสรรหา และเป็นกรรมการ สภามหาวิทยาลัย ที่ เลือก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย สารขัณฑ์ จึงต้องมีบุญคุณต่อกัน
สรุป การประชุมสภามหาวิทยาลัย สารขัณฑ์ ในวันที่ 27 กันยายน ดังกล่าว จึงเป็นการประชุม ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มติใดๆ ในวันดังกล่าว จึงต้องเป็นโมฆะ ทั้งหมด ฉะนั้น ผู้ที่ร้องทุกข์ ทั้ง 7 คน
ก็สามารถ นำกรณีนี้ ไปเป็นเหตุในการฟ้อง ต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ตามมาตรา 157 ได้ อีกกรณีหนึ่ง”
จากความคิดเห็นของผู้สันทัดกรณี ได้ชี้ให้เห็นว่าสภาฯชุดนี้ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ไร้วุฒิภาวะ
เป็นสภาฯเถื่อน เพราะเกิดขึ้นจากการสรรหาโดยรักษาการอธิการบดีเถื่อน จึงเถื่อนไปด้วยกันทั้งหมด
คำถามมีว่า แล้วพวกท่านจะต้องทนอยู่กับพวกเถื่อนๆเหล่านี้ไปอีกนานเท่าไร ช่างเป็นเวรกรรมของมหาวิทยาลัยแห่งนี้จริงๆ เพราะไม่มีใครทำอะไรได้ นอกจากวิธีที่ดำเนินการอยู่ คือ พึ่งศาลสถิตยุติธรรมเท่านั้น
แต่ผมคิดว่ายังมีอีกวิธีหนึ่งก็ คือ “ชุมชนท้องถิ่น” คงถึงถึงเวลาแล้ว ที่ท้องถิ่นซึ่งถือเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จะต้องลุกขึ้นมาช่วยปกป้องมหาวิทยาลัยของตน เช่นเดียวกับชุมชนท้องถิ่นในจังหวัดอื่นๆ เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชาวบ้านพากันออกมาปกป้องโบราณสถานเมื่อถูกกลุ่มมิจฉาชีพบุกรุกเข้ามาทำลาย หรือ เมื่อเร็วๆนี้ ชาวบ้านที่ ต.เชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา ได้รวมตัวกันเพื่อคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล เป็นต้น
ฉะนั้น ต่อไปนี้ คงต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนในท้องถิ่นได้รับรู้อย่างกว้างขวาง ในทุกเรื่อง ทุกสื่อ และทุกวิธีการ เพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวสารขัณฑ์ได้รู้ว่า ขณะนี้ที่มหาวิทยาลัยของท่าน พวกเขาทำอะไรกันอยู่ มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลบ้างหรือเปล่า เริ่มกันที่ตลาดสดเลย เดี๋ยวก็กระจายทั่วไปเอง
คอยดูนะครับ เมื่อพี่น้องประชาชนชาวสารขัณฑ์ลุกขึ้นมาทวงคืนมหาวิทยาลัยของเขา จะเลวร้าย
ยิ่งกว่า “ต้องตำน้ำกิน”เสียอีก
….