กาย

portraits

จิปาถะ
กาย
1
ต้องขอออกตัวก่อนว่า เรื่องสัญญาและปัญญา ที่ผมนำเสนอไปแล้วนั้น ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรหรอก ผมเก็บความมาจากหนังสือเรื่อง ลัทธิโยคีและมายาศาสตร์ ของพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งเป็นเรื่องวิชาลึกลับ(Occult Sciences) ที่เกี่ยวกับอำนาจของดวงจิต หลักสำคัญของลัทธิโยคี คือการฝึกจิตให้แน่วแน่เป็นสมาธิ ซึ่งท่านกล่าวว่าเป็นคุณธรรมอันประเสริฐที่สุดที่มนุษย์จะพึงมี (2553.3)
ดังนั้น หากต้องการเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้ ก็หาหนังสือของหลวงวิจิตรฯ ดังกล่าวมาอ่าน ส่วนที่ผมเขียนนั้นก็จับแพะชนแกะไปตามเรื่อง ทีแรกกะว่าจะเขียนในลักษณะเรื่องสั้น เพราะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก ผิดบ้างถูกบ้างก็เป็นเรื่องความไม่รู้หรือความโง่ของตัวละคร แต่ได้เริ่มเขียนแบบนี้แล้ว ก็จะพยายามต่อไป ได้ไม่ได้ก็อย่าได้ว่ากันนะครับ
2
เรามักจะคิดเอาเพียงง่ายๆว่า มนุษย์นั้นคือสภาพอันหนึ่งที่มีส่วนประกอบเพียง 2 อย่างเท่านั้น คือ กายกับใจ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์มีส่วนประกอบต่างๆอย่างสมบูรณ์และสลับซับซ้อนมากยิ่งกว่าที่เราจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง
สิ่งแรกที่จะต้องพิจารณาก็คือ อะไรเป็นตัวจริงของเรา “หลักทั่วไปในทางพระพุทธศาสนาถือว่าตัวตนของเราไม่มี แต่ในลัทธิโยคีถือว่าตัวจริงของมนุษย์ คือดวงวิญญาณ ที่มีอยู่ชั่วกัลปาวสาน (ลัทธิโยคีเขาไม่มีนิพพาน) ถึงแม้ว่าร่างกายหรือสิ่งอื่นๆจะเปลี่ยนแปลงทำลายเกิดใหม่อย่างไร ดวงวิญญาณซึ่งเป็นตัวจริงจะอยู่คงที่ คงเป็นดวงวิญญาณดวงเดิมอยู่เสมอ”(2553.12)
3
“ในลัทธิโยคี ถือว่าในตัวมนุษย์เรามี 7 ชั้น ได้แก่ 7 ) ดวงวิญญาณ 6)ดวงจิต 5) ปัญญา 4)สัญญา 5)ปราณ 2)เจตภูต หรือกายทิพย์ 1) ร่างกาย (2553.12-13)
ดวงวิญญาณจะอยู่ชั้นในที่สุดและสิ่งอื่นๆเท่ากับเป็นกำแพง 6 ชั้น ล้อมรอบดวงวิญญาณ ซึ่งผมได้นำเสนอเรื่องปัญญาและสัญญา แต่พอสังเขปไปแล้ว วันนี้จะว่าเรื่องกาย ต่อด้วยส่วนอื่นๆ พอสังเขปเช่นกันไปตามลำดับ
4
ใบบรรดาส่วนประกอบของสภาพที่เราเรียกว่ามนุษย์นั้น กาย ถือได้ว่าเป็นส่วนที่เห็นได้ง่ายอยู่นอกสุดและหยาบที่สุด แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่า กาย นั้นไม่สำคัญ เพราะถ้าไม่มีกาย ส่วนประกอบอื่นๆก็ดำรงอยู่ไม่ได้ ดังนั้นจึงจะต้องรักษากายไว้ให้ดี ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นภาระสำคัญและหนักหน่วงที่จะต้องรักษาไว้ให้นานและดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ทั้งนี้เพื่อรักษาสภาพอันหนึ่งที่เรียกว่าคน หรือ มนุษย์นี้
5
ร่างกายของมนุษย์ มีผิวหนังที่หุ้มห่อร่างกาย ผิวหนังนี้มีรูเล็กๆอยู่ทั่วไป เรียกว่าขุมขน ทุกขุมขนมีชีวิตและมีความรู้สึก มีปัญญา และมีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ไปตามปกติ เช่น รับเอาสิ่งที่มีประโยชน์เข้าไปในร่างกาย หรือขับของเสียออกจากร่างกาย ขุมขนเหล่านี้ยังมีความสามารถในการรักษาตนเอง เช่น เมื่อเกิดบาดแผลเล็กน้อยก็มีเครื่องทำให้แผลหายเองโดยไม่ต้องใส่ยา แต่ถ้ามีบาดแผลหรือโรคร้ายที่เกินกำลัง จึงต้องอาศัยการรักษา
6
เมื่อความตายมาถึง รูขุมขนบนผิวหนังก็จะตายไปด้วย ช่องหรือรูเล็กๆจะแยกออก ทำให้ศพพองโตขึ้นอืด ต่อจากนั้นธาตุต่างๆที่ประชุมกันอยู่เป็นร่างกายก็แยกกันออกไป ส่วนที่เข้นแข็งก็กลายเป็นดิน ส่วนที่เหลวก็กลายเป็นน้ำ และเมื่อร่างกายถูกทำลายไปแล้ว ปราณและดวงวิญญาณก็ออกจากร่างไป ไปสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ อาจเกิดในร่างใหม่ หรือเป็นสัมภเวสีวนเวียนอยู่ตามเส้นทางสัญจรไปมาทั่วไป “ลัทธิโยคีนั้นจึงถือว่า ความตายมิได้ทำอะไรให้สูญ ความตายเป็นการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น และเมื่อเป็นดังนี้ ความตายจึงไม่ใช่ของที่น่าพึงกลัวเลย”(14) ซึ่งสอดคล้องกับ ประมวล เพ็งจันทร์ความว่า “ถึงวันหนึ่งเราจะมีความสุข แม้กระทั่งยามเมื่อเราเจ็บป่วยใกล้จะตาย เพราะอะไรครับ เพราะความรู้สึกเจ็บป่วยใกล้ตาย คือหมายความถึงว่า ภาระแห่งการแบกรับสังขารนี้ เรากำลังจะปลดเปลื้องแล้ว ถ้าหากสังขารนี้เราต้องแบบต้องถือ เราจะโยนทิ้งก็ไม่ได้ ถึงที่หมายแล้ว เราวางสิ่งนี้ลงด้วยความรู้สึกขอบพระคุณเป็นที่สุด”(2552.150)
7
เนื่องจากเราไม่สามารถปลดเปลื้องการแบบรับสังขารนี้ได้ตามใจ ทางเลือกของเราก็คือ ดูแลสังขารนี้ต่อไปให้ดีที่สุด ใช้บั้นปลายชีวิตที่เหลืออีกไม่นานนัก ด้วยความเชื่อมั่นในความดีงาม เกื้อกูลอาทรซึ่งกันและกัน ด้วยดวงใจที่เบิกบาน และกลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างมีความสุข
………
ประมวล เพ็งจันทร์.(2552) เราจะเดินไปไหนกัน.กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ.
วิจิตรวาทการ,พลตรี,หลวง.(2553).ลัทธิโยคีและมายาศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ 2 .กรุงเทพฯ สาร้างสรรค์บุ๊คส์.

 

 

 

 

 

 

 

Comments are closed.