วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
จิปาถะ เรื่องสั้น โจรปล้นเงินเดือน (เหนื่อยเนาะ)
2
คม หักศอก ถามมีนา จันว่า “ระหว่างนายสุชี๋ นายกสภาฯและกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯกับ นางแต้ม รักษาการอธิการบดี นั้นใครเป็นตัวการสำคัญของความขัดแย้งในมหาวิทยาลัยสารขัณฑ์กันแน่?”
“แล้วแก่ว่าใครล่ะ?” มีนา จัน ย้อนถาม
“ฉันว่าทั้งหมดนั่นแหละ เลวทรามต่ำช้าจริงๆ เห็นแก่ประโยชน์ตน เป็นผู้คุณวุฒิทั้งนั้นนะ แต่ไม่ได้มีสำนึกแม้แต่น้องเลยว่า สิ่งที่ได้ปฏิบัติอยู่นั้น ได้สร้างความเสียหายให้แก่มหาวิทยาลัยและท้องถิ่นมากมายขนาดไหน ส่วนคนในท้องถิ่นก็เฉย เลยไม่รู้จะว่าอย่างไร”
“ไหนแกลองแจงให้ฟังซิ” คม หักศอก
“ฉันว่าสภามหาวิทยาลัยนั่นแหละเป็นตัวการสำคัญ รักษาผลประโยชน์ตนโดยหลอกนางแต้มให้ทำหน้าที่รักษาการอธิการบดี โดยสร้างแรงจูงใจว่าจะส่งชื่อเพื่อขอโปรดเกล้าฯ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็ไม่ได้..
ส่วนนางแต้ม ซึ่งถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว นางไม่มีอะไรเลย เป็นข้าราชการบำนาญแก่ๆคนหนึ่งเท่านั้น แต่นางถูกสภามหาวิทยาลัย ใช้ให้เป็นหุ่นเชิด หรือค้ำไว้ให้เป็นรักษาการอธิการบดี โดยไม่มีคำสั่งหรือหลักฐานอะไรที่จะยืนยันได้เลยว่านางเป็นรักษาการอธิการบดี ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฏหมาย แต่เนื่องจากนางชอบ สนุกไปกับการถูกเชิด เลยฮึกเหิม ทำตัวกร่าง ใหญ่โตโดยลืมคิดไปว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้นมัดผิดกฏหมาย และต่อไปจะได้รับความยุ่งยากลำบากถึงติดคุกติดตะรางแน่นอน”
“แล้วจะทำอย่างไรล่ะ? มีนา จัน ตั้งคำถามอีก
“ก็คงต้องรอ เพราะพนักงานมหาวิทยาลัยเองก็มีปัญหาวิกฤตเรื่องขาดผู้นำ ที่พอทำได้ตอนนี้ก็ฟ้องตาม อาญา ม. 157 ซึ่งก็ต้องใช้เวลาและเงินเป็นจำนวนมาก ส่วนพวกกระสือนั้นก็ถือโอกาสตีกินไปเรื่องๆ กว่าจะถึงฏีกา ก็ มรณํ กันไปหมดแล้ว ก็อย่างที่เพื่อ fc ท่านหนึ่งบ่นว่า “เหนื่อยเนาะ พูดไม่รู้เรื่องยิ่งกว่า พวกสามกีบอีก” และ “ใจไม่หยุด พฤติกรรมก็ไม่หยุด รอกรรมชั่วชำระ ดีที่สุด #กฏแห่งกรรม ถ้าหนีได้ก็เก่งละ”
“เอ้า! ตายจริง!” คม หักศอก บ่น “ฉันคิดว่าจะให้มีนา จัน แสดงความเห็นนะนี่ แต่กลายเป็นฉันว่าคนเดียวไปได้ไง?
….