หัวใจเปื้อนชอล์ก ตอน จดหมายจากพ่อ 4

power 1.net

ปะเคียบ คูเมือง หนุ่มใหญ่วัยใกล้เกษียณ จบศิลปะ ครูใหญ่โรงเรียนอำเภอบุรีรัมย์ วางจดหมายทั้งสามฉบับที่ฮือฮาอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ลงบนโต๊ะ เอาหนังสือ วางทับไว้เพื่อไม่ให้ปลิว ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว สีหน้าครุ่นคิด
มาลีหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เอกศิลปะ รุ่นเดียวกัน เป็นครูในสถาบันอำเภอเมือง ใส่เสื้อยืดสีเขียวขี้ม้า ด้านหน้าพิมพ์เลข ๙ และข้อความ ประชาชนของพระราชา เอ่ยถามทำลายความเงียบขึ้นว่า “อ่านแล้วเป็นอย่างไร จดหมายจากพ่อ”
เคียบไม่ตอบ แต่ย้อนถาม “เอาจดหมายมาให้อ่านทำไม และคนที่ถูกกลั่นแกล้งในจดหมายน่ะเป็นใคร”
“เพื่อนสนิทเราเอง ทำงานอยู่ด้วยกัน อยากให้เคียบช่วยเสนอแนะ”
“น่าเห็นใจนะ พวกเราเอกศิลป์ มักจะโดนกลั่นแกล้งเสมอ ”เคียบพูดเบาๆ เอื้อมมือหยิบเนื้อแดดเดียวเข้าปากเคี้ยวอย่างไม่เกรงใจฟัน
“เป็นอย่างไร จดหมาย” มาลีถามอีก
“อ่านแล้วรู้สึกกลัว” ปะเคียบตอบเรียบๆ ในขณะที่สายตาเหม่อมองไปหน้าร้านซึ่งเป็นทางหลวง มีรถวิ่งผ่านไปมาไม่ขาดสาย เว้นแต่รถประจำทางซึ่งนานๆจะวิ่งผ่านมาสักคัน แดดที่อ่อนลงทำให้แสงจ้าของเปลวแดดบนถนนคลายความจ้าลง ริมถนนต้นทองกวาวแคระแกนก้านงอหงิกออกดอกสีแสดชูช่อพลิ้วลม ดอกที่บานเต็มที่แล้วร่วงปลิวลงพื้นดินดอกแล้วดอกเล่า ทำให้โคนต้นมีสีแสดดังปูด้วยพรม กลมกลืนไปกับพื้นดินสีลูกรังแห้งซีดสลับกับสีหญ้าเขียวที่ขึ้นอยู่ประปราย ไกลออกไปเป็นทิวเขาสีครามเข้ม
เสียงของหญิงสาวเอ่ยถามขัดขึ้น หยุดอารมณ์สุนทรียะในจินตนาการธรรมชาติของ ประเคียบ ให้กระเจิงไป
“ เคียบกลัวอะไร”
“กลัวตกนรก” เพราะเริ่มสงสัยตัวเองว่า ตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่การงานได้เผลอทำร้ายเพื่อนร่วมงานอะไรไว้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ กลัวว่าจะต้องไปใช้กรรมเหมือนกับที่ว่าไว้ในจดหมายจากพ่อ”
“เคียบ ไม่ใช่คนอย่างนั้นนี่ เห็นมีแต่คนรัก” มาลีแย้ง
“ที่เห็นอาจจะเป็นเพียงภาพลวงตาก็ได้” ปะเคียบค้าน
“ถามจริงๆเถอะ เคียบ เชื่อเรื่องในจดหมายหรือไม่”
“ไม่เชื่อจะกลัวรึ” ปะเคียบ ย้อน พร้อมยกมือเป็นสัญญาณว่าต้องการเบียร์เพิ่มอีกขวด
การสนทนาหยุดลงชั่วครู่ เมื่อเด็กบริการนำเบียร์มาให้ ปะเคียบ รินให้มาลีก่อนที่จะรินให้กับตัวเอง
มาลียกเบียร์ขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนที่จะถามทำนองคาดครั้น
“เคียบ เชื่อว่า “พ่อ”ในจดหมายได้รับกรรมเช่นนั้นจริงใช่ไหม”
“ใช่ ได้รับกรรมเช่นนั้นจริง แต่ไม่ใช่กรรมที่เกิดจากการกระทำของลูกแกตามที่จดหมายอ้าง แต่เป็นกรรมของตัวแกเอง เพราะกรรมเป็นเรื่องของกรรมใครกรรมมัน”
“อธิบายหน่อย เคียบ” มาลี รบเร้า
“ตอบง่ายๆ ตามจดหมาย ก็คือ เป็นกรรมของพ่อที่ไม่ได้สอนความดีความงามให้แก่ลูก โดยเฉพาะเรื่องพรหมวิหารสี่…จากจดหมายจึงเห็นได้ว่า ถึงแม้พ่อจะตายไปนานแล้ว แต่เนื่องจากไม่ได้สอนเรื่องคุณธรรมจริยธรรมให้ลูก จึงต้องกลับมาชดใช้กรรม คือ ต้องกลับมาสอน” เคียบ รินเบียร์และยกขึ้นดื่มก่อนที่จะอธิบายต่อไปว่า
“การกลับมาสอน ก็จะพบกับความยากลำบาก ตามจดหมายพ่อยกตัวอย่างว่า คนที่ตกอยู่ในโลหกุมภีนรก กว่าจะสอนคำว่าเมตตาได้ ต้องกลิ้งหมุนลงก้นหม้อถึง 3 หมื่นปี โผล่ขึ้นมาอีก 3 หมื่นปี เพื่อจะสอนลูกให้เป็นคนมีเมตตา แต่มีเวลาไม่พอ กล่าวได้เพียง เม เท่านั้น และต้องรออีกถึง 6 หมื่นปี กว่าจะได้กลับมาสอนคำว่า กรุณา แต่ก็กล่าวได้เพียง กะ”
“ที่พูดนี่หมายความว่า กว่าจะสอนหลักธรรม เรื่อง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาให้สมบูรณ์ได้ ก็ต้องใช้เวลายี่สิบหมื่นกว่าปีเชียวรึ”
“ถูกต้อง”
“ถ้างั้น ลูกก็แทบไม่มีโอกาสได้เป็นคนดีแน่เลย”
“ใช่ ก็ต้องไปตกนรกก่อน”
“ดังนั้น เมื่อมีลูกมีหลานก็ต้องสอนในเรื่องคุณธรรมจริยธรรมให้เข้าใจแจ่มแจ้งพร้อมการปฏิบัติ จะได้ไม่ต้องมีภาระต้องกลับมาสอนกันอีก”
“ที่เคียบอธิบายมา ฟังดูทะแม็งๆชอบกล อธิบายนอกบาลีละมั้ง”
“ก็อธิบาย เพื่อให้เข้ากับเรื่องตามเจตนาของจดหมายที่เขียนมา ฟังดูอาจทะแม็งๆไปบ้าง”
“เอาในบาลีดีกว่า เคียบ เรื่องกรรมนี่”
“เรื่อง กรรม บาลีเขาว่าไว้อย่างนี้…
“กมฺมุนา วตฺตติ โลโก” สัตว์โลกทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรมโดยมีเจตนาเป็นปัจจัย หมายถึงการกระทำของจิตใจที่เป็นเหตุให้เกิดผล หรือให้สำเร็จกิจในหน้าที่ของตนเรียกว่า “กรรม”
ดังพุทธภาษิตกล่าวไว้ใน องฺคุตฺตรนิกาย ฉกฺกนิบาตว่า…
“เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ เจตยิตฺวา กมฺมํ กาเยน วาจาย มนสา”
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนาคือตัวกรรม สัตว์ทั้งหลายที่ทำกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจก็ดี ย่อมมีการปรุงแต่ง คือคิดนึกก่อนแล้วจึงทำ
ดังจะเห็นได้ว่าการกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จะเป็นกุศล หรืออกุศลก็ตาม ต้องอาศัยเจตนาเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้าในการกระทำนั้นๆ ฉะนั้น เจตนาจึงเป็นตัวกรรม หรือเป็นหัวหน้าของสังขารขันธ์ทั้งหลาย”
“ดังนั้น ที่จดหมายอ้างว่า พ่อ ต้องรับกรรม เนื่องจากการกระทำของลูก อันนี้ไม่ถูกใช่ไหม”
“ใช่ ไม่ถูกต้อง แต่เนื่องจากมนุษย์นั้นมักจะโทษคนอื่นก่อนเสมอ เวลาเดือดร้อนแทนที่จะโทษตัวเอง ก็โทษว่าเป็นเพราะคนอื่น”
“แสดงว่าเรื่องในจดหมายนั้นเป็นเรื่องของกรรมใครกรรมมัน ไม่เกี่ยวกัน” มาลีสรุป
“ใช่ ทุกคนในจดหมายต่างทำกรรมร่วมกันมาแต่ชาติก่อน”
“อธิบายได้ว่า เพื่อนเธอที่ถูกกลั่นแกล้ง ชาติก่อนอาจเกิดเป็นผู้บังคับบัญชา มีอำนาจ และลุแก่อำนาจ กลั่นแกล้งผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างแสนสาหัส ดังนั้น ชาตินี้จึงต้องมาใช้กรรม ถูกกลั่นแกล้งบ้าง”
“ งั้น แสดงว่าผู้บริหารในจดหมาย ชาติก่อนคงเกิดเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา และถูกกลั่นแกล้งจากผู้คนเป็นจำนวนมาก ชาตินี้ถึงต้องมาชดใช้กรรมที่ทำไว้ ต้องมานั่งคิดนอนคิดกลั่นแกล้งผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ร่ำไป”
“ถูกต้อง”
“น่าสงสารนะ” เคียบ “ช่างหัวแกเถอะ มันเป็นกรรมของแก”
“ที่ว่ามานี่ โอเค ไหม มาลี”
“ก็ โอเค แต่ช่วยอธิบายหน่อยซิว่า คาถาเปรต ทุ สะ นะ โส ไปเกี่ยวกับคาถา เม กะ มุ อุ ได้อย่างไร”
“เกี่ยวซิ เพราะคำสอนของพระบรมศาสดานั้น ตรงเป็นอันเดียวกันทั้งหมด ดังพุทธวจน ที่ว่า “นับตั้งแต่ราตรีที่ตถาคตตรัสรู้ จนกระทั่งถึงราตรีที่ปรินิพพาน ตถาคตได้กล่าวสอน พร่ำสอน แสดงออกซึ่งถ้อยคำใด ถ้อยคำเหล่านั้นทั้งหมดย่อมเข้ากันได้เป็นประการเดียวทั้งสิ้น ไม่แย้งกันเป็นประการอื่นเลย”(พุทธวจนะ ตามรอยธรรม.มูลนิธิพุทธโฆษณ์.๒๕๕๕ : ๓๕)
ดังนั้น คนที่ขาด “เมตตา” ก็จะไม่รู้จักคำว่า“ทาน” หรือธรรมข้ออื่นใดเลย คนแบบนี้ มีแต่ตกนรกเท่านั้น ตัวอย่างในจดหมายถือว่าโดนน้อยไปด้วยซ้ำ มีอย่างที่ไหน คนเขาจะไปดูแลแม่ ยังไปขัดขวางเขาอีก มีเจตนาทำลายครอบครัวเขาชัดๆ จัญไรจริงๆ”
“เคียบ เบาหน่อย ใส่อารมณ์มากไปแล้ว”
“ของมันขึ้น มาลี” เสียงของเคียบค่อยเบาลง
“แล้วคาถาในภาพประกอบล่ะ ”
ภายในภาพเป็นหัวใจคาถา เม กะ มุ อุ ที่จารึกด้วยอักษรขอม ซึ่งถือกันว่าเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ นิยมใช้ในการจารึกคาถา เป็นคาถาที่ผู้เขียนภาพนำเสนอให้เห็นว่า ผู้ที่ตกอยู่ในโลหกุมภีนรก จะกล่าวคาถาได้ที่ละอักษรเท่านั้น แล้วก็จมหายไป
ส่วนคาถารอบนอก เป็นคาถา พาหุ หรือ พุทธชัยมงคลคาถา ซึ่งในภาพนำเสนอเฉพาะบทแรก เป็นคาถาที่นิยมนำมาสวดภาวนากันอย่างกว้างขวาง กล่าวถึงพระพุทธองค์ทรงชนะมารด้วยธรรมวิธีมีทานบารมี เป็นต้น และด้วยเดชะของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า”
เคียบเชื่อว่า การใช้พุทธชัยมงคลคาถา กับภาพในจดหมาย คงมุ่งเน้นในเห็นว่า ธรรมย่อมชนะอธรรมอย่างแน่นอน
“ชัดเจนแล้วนะ มาลี”
ไม่มีเสียงตอบ
“เออ! เย็นแล้ว เรากลับกันเถอะ”
ปะเคียบ คูเมือง หยิบแก้วเบียร์ที่เหลือขึ้นดื่ม ยกมือเป็นสัญญาณให้เด็กบริการมาเก็บเงิน หันหน้ามาทางมาลี “เธอจอดรถไว้ที่ไหนละ”
“ใกล้กับรถเคียบนั่นแหละ” มาลีตอบ
หลังจากจ่ายค่าอาหารแล้ว ทั้งคู่พากันเดินมายืนอยู่ที่ข้างรถ
เคียบหันหน้าไปทางมาลี และกล่าวลา “เคียบไปเลยนะ.. แล้วค่อยพบกันใหม่”
“ค่ะ มาลีตอบเบาๆ”
เคียบ เปิดประตูรถ ก้าวเข้าไปนั่ง ติดเครื่องยนต์ และลดกระจกลง เมื่อเห็นมาลีเดินเข้ามาใกล้
“มีอะไรรึ” เคียบถาม
“สงสัยอีกข้อหนึ่ง เรื่องที่เกิดกับเพื่อนเราน่ะ ถ้าเป็นเคียบ..เคียบจะยอมไหม”
“ไม่มีทางยอมหรอก เรื่องอะไรจะยอมให้มาทำลายครอบครัวของเราอย่างนั้น”
“โอเค เข้าใจแล้วล่ะ”
เคียบค่อยๆเคลื่อนรถออกไปช้าๆ ชะโงกหน้าออกมาตะโกนบอกมาลีว่า
“ฝากบอกเพื่อนเธอด้วยนะ อย่าไปยอมมัน”

 

 

Comments are closed.