มลทินกรรม

มลทินกรรม

1

เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างเย็น ถนนหนทางเฉอะแฉะ เนื่องจากฝนที่พรำมาตั้งแต่เมื่อคืน และเพิ่งจะซาเม็ดไปเมื่อครู่ ที่หน้าบริเวณโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ซึ่งแออัดไปด้วยร้านค้าแผงลอยและ ยวดยานพาหนะพวกสามล้อ สามล้อเครื่อง และรถยนต์ ทั้งที่สัญจรไปมาและจอดเรียงรายตาม ข้างถนนดูสับสนวุ่นวายอยู่แล้วนั้น เมื่อฝนหยุดตกบริเวณดังกล่าวยิ่งดูจอแจมากขึ้นไปอีกจากผู้คนที่เดินข้ามถนนไปมา ต่างรีบร้อนหาซื้อสิ่งของเครื่องใช้และอาหารการกินกันขวักไขว่ เพราะเกรงว่าฝนจะตกลงมาอีก

ส่วนภายในบริเวณโรงพยาบาล ก็มีสภาพไม่แตกต่างไปจากข้างนอกมากนัก โดยเฉพาะบริเวณตึกคนไข้นอก ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยคนไข้ที่เตรียมตัวมาเข้าคิวรอรับการรักษาแล้ว ยังมีญาติพี่น้องที่ติดตามมาดูแล ญาติของผู้ป่วยที่มาเยี่ยมไข้และที่มาเยี่ยมญาติแล้วไม่ได้กลับเพราะบ้านอยู่ไกล ก็นั่ง นอนยืนเดินกันอยู่ตามระเบียงทางเดินและที่ว่างระหว่างตึกเต็มไปหมด สังเกตเห็นได้ว่า ทุกคนมีใบหน้าหม่นหมอง ดวงตาปรากฏร่องรอยของความวิตกกังวลกับโชคชะตา

ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่มุมห้องชั้นสองตึกอายุรกรรม ผมมาอยู่เฝ้าไข้ สด โคกกระสัง เพื่อนสนิท ซึ่งป่วยนอนหลับพักฟื้นอยู่บนเตียง และเนื่องจากสดยังเป็นโสด อยู่ตัวคนเดียวพ่อแม่พี่น้องเสียไปหมดแล้ว ช่วงนี้ผมจึงต้องเดินทางมาบุรีรัมย์บ่อยขึ้น ก็จำเป็นต้องช่วยดูแลกันไป ผลัด เปลี่ยนกับครูเอื้อนที่อยู่บ้านตาเป็ก เพื่อนสนิทอีกคนของสด

ผมรู้สึกวิตกกังวลกับอาการป่วยของสดค่อนข้างมากและจะหันไปมองสดบ่อยๆ เมื่อเห็นว่า ยังหลับอยู่ก็ก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไปอย่างสงบ ผมและสดสนิมกันมาตั้งแต่เด็กโตขึ้นยังไปเรียนสถาบันเดียวกันอีกด้วย สดป่วยและมีอาการทางประสาทถึงวันนี้ก็หนึ่งเดือนพอดี สดเข้าโรง พยาบาลมาสองครั้งแล้ว ครั้งแรกเมื่อตอนเริ่มป่วย จากนั้นก็พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน และครั้งนี้ ร่างกายอ่อนเพลียมากจนต้องเข้าโรงพยาบาลอีก

สด โคกกระสัง หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบ ผิวค่อนข้างคล้ำ รูปร่างท้วม ไว้ผมรองทรง อดีตเคย เป็นครูประชาบาล แต่ลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ปัจจุบันเป็นกรรมการ อบต.ด้วย เขาเรียนมา ทางโบราณคดี จึงสนใจเรื่องชุมชนโบราณและภูมิปัญญาท้องถิ่น เขามุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาติและของประชาชน มีผลงานการศึกษาค้นคว้าเผยแพร่กว้างขวางจนเป็นที่รู้จักกันดีทั่วไป

สด เริ่มมีอาการทางประสาท หลังจากเข้าไปศึกษาเรื่องราวของทับหลังปราสาทในป่าเขต ชายแดนเขมร ถึงแม้อาการป่วยของเขาจะไม่มากนัก แต่บางครั้งรุนแรงจนน่าเป็นห่วง เขามักจะพูดจาวกวน ดวงตาเหม่อลอย ซึมเศร้า ผวา ตื่นกลัวและแสดงพฤติกรรมประหลาดๆ สำหรับ คราวนี้ถึงกับไม่ยอมหลับยอมนอนขนกรวดขนหินเป็นการใหญ่ ร่างกายอ่อนเพลียเลยต้องเข้าโรง พยาบาลถ

2

เกือบเที่ยงแล้ว ท้องฟ้ายังชุ่มฉ่ำน้ำ ฝนที่เริ่มตกลงมาอีกตั้งแต่ตอนสายต่อเนื่องมาจากเมื่อ คืนเพิ่งจะหยุดตกไปเมื่อครู่ เมฆสีเทาดำกระจายอยู่ทั่วไป และเคลื่อนลอยไปตามแรงลมบน ผม เห็นสดลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นเขาค่อยๆเหลียวมองไปรอบๆและแสดงอาการประหลาดใจเมื่อเหลือบมา ทางผม ผมจึงเลื่อนเก้าอี้ไปนั่งที่ข้างเตียง และเอื้อมมือไปจับแขนเขาพร้อมกับ ถามว่า”เป็นอย่างไรบ้าง อาการดีขึ้นไหม”สดไม่ตอบ แต่กลับถามผมว่า “ที่นี่ที่ไหน”
“โรงพยาบาลบุรีรัมย์” ผมตอบเบาๆ
“แล้วเรามาทำอะไรกันที่นี่ล่ะ?”
“ก็แกป่วย”
“ป่วย” สดทวนคำ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยและเริ่มเข้าใจเมื่อมองดูอุปกรณ์และชุดที่ตัวเอง สวมใส่อยู่ ก่อนที่จะถามผมต่อว่า”ป่วยเป็นอะไร”
“ก็มีอาการทางประสาท” “กันนะรึ มีอาการทางประสาท แกจะบ้าหรืออย่างไร” สดพูดพร้อมกับดึงตัวลุกขึ้นนั่ง มีท่าทางสับสน
“บ้าหรือไม่บ้า แกก็ป่วยมาเป็นเดือนและมานอนอยู่ที่นี่สองสามวันแล้ว” ผมยืนยัน
“ป่วยเป็นเดือนแล้ว” สดอุทาน และบ่นพึมพรำ “เป็นไปได้อย่างไรกัน”
ผมเริ่มสังเกตเห็นว่าสติสตังของสดกลับคืนมาเป็นปกติและไม่ปรากฏอาการของคนป่วยหลงเหลืออยู่ เลย
“ทำไมมันเกิดหายขึ้นมารวดเร็วขนาดนี้นะ! เมื่อวานยังเลอะเลือนอยู่เลย คงเป็นบุญของมัน ขอให้มันหายขาดเถอะ” ผมภาวนาในใจ
“ไหนแกลองเล่าซิ ว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร?” สดถามผมในขณะที่หน้าตายังมีอาการงุนงง
“ก็เมื่อเดือนที่แล้ว แกไปหาครูเอื้อน ที่บ้านตาเป็ก แล้วเกิดป่วยครูเอื้อนเลยพามาส่งโรงพยาบาล เมื่อหมอตรวจดูอาการ ปรากฏว่าแกไม่เป็นอะไรมาก เพียงแค่มีอาการอ่อนเพลียและเครียด หมอให้อยู่ โรงพยาบาลสองวันก็ให้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน”
“แล้วอย่างไรอีก ทำไมถึงมานอนอยู่ที่นี่ล่ะ?” สดถามต่อและเอนตัวลงนอนฟังผมเล่าอย่างครุ่นคิด
“ก็แทนที่แกจะหายอย่างที่หมอว่า แกกลับเครียดมากขึ้นและเริ่มมีอาการทางประสาท รู้เปล่า ครั้ง สุดท้าย แกเที่ยวขุดดินขนกรวนขนหินไปทั่วบริเวณบ้าน ไม่ยอมพักผ่อนหลับนอน เลยต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีก”
“บ้า กันทำถึงขนาดนั้นเชียวรึ ตลกน่าดูเลย” สดพูดพร้อมกับยกมือขึ้นดู “มือหยาบขึ้นจริงๆ” สดคิดในใจ
“ก็นั่นนะซิ” “แล้วแกไปทำอะไรมา ถึงได้เลอะเลือนไปขนาดนั้น” ผมถาม
“จำไม่ได้เลย ก็ยังงงๆไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นอย่างนี้”
“งงอย่างไร?” ผมซัก
“กันรู้สึกว่ากำลังพูดคุยอยู่กับครูเอื้อนที่บ้านตาเป็ก กันเหนื่อย สับสนและเครียด หลับตา เอน หลังพิงหนักเก้าอี้ และเมื่อกี้นี้ กันลืมตาขึ้นมา แทนที่จะอยู่ที่บ้านตาเป็กกับครูเอื้อนกลับมาอยู่กับแกที่โรงพยาบาล เลยทำให้งง เท่านั้นยังไม่พอ แกยังบอกว่า กันป่วยมาเป็นเดือน ยิ่งงงใหญ่เลย “บ้าบอคอแตกจริงๆ”
“ใช่! ก็บ้าๆบอๆ ทำอะไรทุเรศหลายอย่างไม่อยากจะเล่า”
“ไม่ต้องเล่าหรอก มันทุเรศสำหรับคนไม่บ้า ส่วนคนบ้า สิ่งที่ทำมันเป็นเรื่องปกติ”
“แล้วนี่แกหายจริงๆหรือ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
“กันไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่หลับตาและลืมตาขึ้นมาเท่านั้น” สดยืนยัน
“ฮึ..ฮึ” ผมหัวเราะในลำคอ “แต่ตอนที่แกหลับตานั่นแหละหนึ่งเดือนเต็มๆ พวกเราวุ่นวายกันไปหมด”
“ฮะ…ฮะ” สดหัวเราะชอบอกชอบใจ และปรารภขึ้นว่า “กันไม่เป็นอะไรแล้ว แกช่วยทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้ทีเถอะ อยากกลับบ้านแล้วละ”

Comments are closed.