มลทินกรรม

4
ลุงเชื้อเล่าต่อไปว่า เมื่อได้ข่าวก็มาร่วมกันคิดวางแผน เพราะก้อนหินซึ่งแต่ก่อนไม่มีใครสนใจนั้น บัดนี้เกิดมีราคาค่างวดขึ้นมา ฉะนั้นจะทำส่งเดชไม่ได้ เมื่อวางแผนเสร็จ ก็ดื่มกินกันอย่างสบายอารมณ์และสนุกสนาน ทุกคนเมื่อคิดถึงเงินที่จะได้ก็มีความสุข มีความหวัง ก็งานง่ายจะตาย แค่ขนก้อนหินลงภูเขาได้ก็รวยแล้ว ง่ายกว่าขนก้อนหินขึ้นภูเขาเป็นไหนๆ

ปัญหาก็คือ ทับหลังไม่ว่าจะเป็นชิ้นไหน ก็มีขนาดใหญ่หนาและหนักมาก เคลื่อนย้ายลำบาก จำเป็นต้องสกัดส่วนหลังออกให้บางลงบ้าง จะได้ขนย้ายสะดวก

ดังนั้น เวลาว่างก็ขึ้นไปช่วยสกัด สบายจะตาย ไม่มีใครสนใจหรอก มีแต่พระ ท่านสันโดดอยู่แล้ว ช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มอื่นๆที่จะขโมยด้วยเหมือนกันก็แข่งกันสกัด เป็นที่รู้กันว่า ใครสกัดให้เป็นชิ้นบางได้ก่อนก็เอาไป ที่สำคัญที่แต่ละกลุ่มกลัวคือ กลัวทับหลังจะแตกหักเสียหาย ไม่ได้ราคาจึงต้องค่อยๆทำสุดท้ายเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย พวกเขาพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายทับหลังลงจากภูเขา ก็เตรียมเชือกหนังควายและจ้างชาวบ้านในหมู่บ้านให้ขึ้นไปช่วยขน ชาวบ้านเองก็ไม่รู้ว่าจะให้ไปขน อะไร แต่อยากได้เงินก็ขึ้นไป แต่พอชาวบ้านรู้ว่าเป็นทับหลังนารายณ์เท่านั้นแหละ ถึงกับหน้าถอดสี ด้วยความกลัวและเสียดาย ก็ทับหลังชิ้นนี้เห็นมาตั้งแต่เด็ก ชาวบ้านเขาเคารพบูชากัน

แต่นั่นแหละ เมื่อมากันแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ก็เลยตามเลย เมื่อใช้เชือกหนังควายผูกกับทับหลังเสร็จเรียบร้อยแล้วเตรียมจะยกขึ้นเท่านั้น ก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด พร้อมกับเสียงตะโกนโวกเหวกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ “อย่าหนีนะ” เท่านั้นแหละทุกคนก็แตกฮือ ต่างหนีเอาตัวรอดเหมือนหนีตำรวจจับพวกเล่นไพ่ สุดท้ายเหลือสองคนที่ถูกจับ

แกเล่าต่อไปว่า พวกลุงเชื้อนอกจากจะขโมยทับหลังแล้วยังเที่ยวขโมยพระพุทธรูปและเทวรูปตามวัดเก่าและตามปราสาททั่วไป ส่วนใหญ่เอาไปขาย ที่ยังขายไม่ได้ก็ยังฝังซ่อนไว้เพราะเป็นของร้อน

และสิ่งที่แกพูดย้ำอยู่ตลอดเวลาก็คือ ลุงเชื้อได้ฝังพระพุทธรูปไว้หลายองค์ ยังไม่ทันได้นำออกขายก็ถูกจับเรื่องทับหลังเสียก่อน และตอนนี้ลุงเชื้อแกรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นบาปเป็นกรรม ทำให้ ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก ที่สำคัญคือเจ้าของหรือคนที่เขามีจิตศรัทธาสร้างพระพุทธรูปเหล่านั้นจะมาทวงถามทุกวันทุกคืน ลุงเชื้อแกกลัว อยากเอาพระพุทธรูปที่ฝังไว้ไปคืนให้วัด แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากจะถ่ายบาป จะได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่อยากจะทำ ได้ขอร้องให้แกช่วย ซึ่งแกก็สัญญากับลุงเชื้อไว้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดำเนินการให้เสร็จภายในหนึ่งเดือน

เมื่อครูเอื้อนเล่าจบ ผมก็ถึงบางอ้อ “เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง สด, แกถึงได้พูดถึงสัญญาอยู่ตลอดเวลา ผมแสดงความเห็น และเสริมต่อว่า “ที่ชัดๆ ก็คือ แกจะใช้เชือกวัดโน่นวัดนี่เพื่อหา ตำแหน่งที่ฝังพระพุทธรูป สุดท้ายแกบอกว่าพบตำแหน่งที่ฝังพระพุทธรูปแล้ว และเริ่มขุดเป็นการใหญ่ไม่ยอมหลับยอมนอน บอกว่าเวลาเหลือน้อย ขอร้องหรือห้ามก็ไม่ฟัง สุดท้ายแกก็พบจริง ๆ แต่ไม่ใช่พระพุทธรูปหรอก เป็นพวกหินทรายขนาดต่างๆ กัน แกดีใจมาก บอกว่าเป็นพระพุทธรูปที่จะต้องนำเอาไปคืนให้วัด และแกก็ขนหินเหล่านั้นไปไว้ที่ศาลากลางบ้านที่แกบอกว่าเป็นวัดจนหมด พวกเราได้แต่คอยดูแก ไม่รู้จะช่วยอย่างไร แกขนเสร็จก็สลบอยู่ตรงศาลานั่นเอง พวกเราเลยพาแกมาส่งที่โรง พยาบาล”
“โม้หรือเปล่า” สดขัดขึ้น
” โม้หรือไม่โม้ ก็ไปดูหลุมที่แกขุดสิ อยู่ข้างยุ้งข้าวโน่น” ผมชี้มือไปทางยุ้งข้าว สดเงียบอย่างยอมจำนน
“ทีนี้ฉันพอจะจับความได้แล้วเหมือนกันแหละว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร” ครูเอื้อนสรุป แสดงท่าทางว่าเข้าใจเรื่องดี “มันเป็นอย่างไรล่ะ” สดถาม

“คือตอนอยู่ที่บ้านตาเป็ก ก่อนที่แกจะล้มฟุบลง จนฉันต้องพาแกว่าโรงพยาบาลนั้น เราถกเถียงเรื่องครูเชื้อกับพวก แกบอกฉันว่าได้ไปพบพวกนั้น กินด้วยกันนอนด้วยกันอยู่หลายวันหลายคืนจึงกลับออกมา ฉันบอกแกว่า พวกนั้นเป็นพวกที่ขโมยทับหลังจริงเป็นครูหมู่บ้านนี่แหละ แต่ตายไปหลายปีแล้วแกรู้สึกฉงน แต่ไม่ยอมเชื่อ หาว่าฉันว่าแกไปนอนกับผีกับสาง แกยืนยันว่าเพิ่งแยกจากกันมา จะตายได้อย่างไร สุดท้ายฉันต้องให้อ้ายจ๊อบ หลานลุงเชื้อไปเอาหนังสืองานศพมาให้แกดู แกเห็นภาพลุงเชื้อที่อยู่หน้าโลงศพเท่านั้นแหล่ะ แกตกใจถึงกับสลบไป ฉันเลยต้องพาแกมาส่งโรงพยาบาล ทุกคนเงียบทั้งเข้าใจและงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น สุดท้ายผมเปรยขึ้นเบาๆ ว่า “แปลกจริงๆ วันที่แกหายป่วย ก็ครบหนึ่งเดือนพอดิบพอดี” ผมหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนที่จะเสริมต่อไปว่า “ใช่ ..ใช่แล้ว…ตอนแกหายป่วย เวลาก่อนเที่ยงด้วย”

“ครูเชื้อคงจะให้สดทำงานให้ เมื่อทำเสร็จก็จบ” ครูเอื้อนสรุป
“ขอให้มันจบจริงๆ เถอะ” ผมสรุปด้วย “เออ! สด แล้วเรื่องนี้แกคิดอย่างไรล่ะ” ผมถาม
“ไม่รู้ ก็บอกแล้วไงว่ากันจำอะไรไม่ได้ รู้แต่ว่าวันที่ไปพบครูเอื้อนที่บ้านตาเป็ก กันเหนื่อย เครียด เลยหลับตาเอนหลัง พิงพนักเก้าอี้ และลืมตาขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่โรงพยาลแล้ว” ในขณะที่สดพูดนั้น ผม สังเกตเห็นว่า สดเริ่มมีอาการเครียด และเมื่อพูดจบ สดหลับตา ทันใดนั้น ตัวมันก็โงนเงนไปข้างหน้าทำท่าจะล้มลง ผมและครูเอื้อนต่างตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก ลุกขึ้นช่วยกันประคองสดนอนลงบน แคร่
ครูเอื้อนควักยาดมออกจากกระเป๋ามาแขว่งที่จมูก ผมเขย่าตัว พร้อมกับเรียกชื่อ สด…สด อย่างวิตก ชั่วครู่ สดค่อยๆ ลืมตาขึ้น

” เป็นอย่างไรบ้างสด” ผมถาม สด มองหน้าผมและครูเอื้อน คิด….ก่อนที่จะยิ้มและหัวเราะเอ๊กอ๊ากชอบอกชอบใจ พร้อมกับตอบว่า “เปล่า ไม่เป็นอะไร กันแกล้งพวกแกเล่น”

ผมและครูเอื้อนมองตากันอย่างแคลงใจ พร้อมกับพูดขึ้นพร้อมกันว่า

” ไอ้บ้า ! นึกว่าไปอีกแล้ว”

Comments are closed.