ตดทรนง

ตดทรนง

วิสุทธิ์ ภิญโญวาณิชกะ

1

…..เมื่อเสียงตดดังขึ้น กลิ่นอ่อนๆก็โชยมาและค่อยๆเลือนหายไป

หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับชายหนุ่มที่ตด เงยหน้าขึ้นจากแผ่นปลิวที่กำลังอ่านอยู่ ใบหน้าแสดงถึงความวิตกกังวล คิ้วที่เรียวงามขมวดเข้าหากัน บ่งบอกว่า ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในหัวใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น หล่อยเอ่ยถามเขาเบาๆว่า “เรื่องตึก ไปถึงไหนแล้ว”

ประเคียบ คูเมือง หนุ่มฉกรรจ์ วัย 35 รูปร่างท้วม ล่ำ ใบหน้าสี่เหลี่ยมคมเข้ม ผมหยิก ผิวคล้ำ บอกลักษณะเป็นคนท้องถิ่นอีสานใต้ เขากำลังเหม่อมองใบสนที่ลู่ตามลมอ่อนไหวไปมา

เมื่อได้ยินเสียงถาม เขาหันหน้ามาสบตากับหญิงสาว ยกแก้วเบียร์ที่เหลือติดก้นแก้วขึ้นดื่มจนหมดก่อนจะพูดว่า

“อ่านแผ่นปลิวแล้ว ไม่เข้าใจรึ”

“ยัง” หล่อนตอบสั้นๆ

“เรื่องมันจบไปอย่างสะใจแล้ว” ประเคียบตอบหญิงสาวอย่างเฉยเมย คำตอบของเขามิได้ทำให้คนถามพึงพอใจนัก ใบหน้าที่แสดงถึงความเคลือบแคลงสงสัยยังคงปรากฏอยู่อย่างชัดเจน “ไหนลองเล่าให้เคลียร์หน่อยซิ เคียบ ขอร้องเถอะ”

“ได้” เขาตอบพร้อมกับขยับตัวมองหาเด็กเสริฟ “ขอเบียร์อีกขวด” เขาพูดเบาๆ ชี้มือไปที่ขวดเบียร์ และยกนิ้วขึ้น แสดงให้รู้ว่า เขาต้องการเบียร์อีก 1 ขวด

เด็กเสริฟ ลุกจากเก้าอี้ เดินไปที่ตู้เย็นอย่างเข้าใจความหมาย

เคียบ หันหน้ากลับมาทางหญิงสาว “เรื่องมันจบไปอย่างสะใจจริงๆ ทุกคนที่เกี่ยวข้องเจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เรา” หมายถึงตัวเคียบเอง เจ็บปวดจนแทบไม่เชื่อว่า เรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

เด็กเสริฟยกเบียรมาให้ ทำท่าจะริน เขายกมือห้าม “ขอรินเอง” เขาพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบขวดและแก้วเบียร์ เขาเอนปากขวดและแก้ว ค่อยๆรินเพื่อไม่ให้เกิดฟอง

“ความจริงเรื่องแย่งตึกกันไม่น่าจะเกิดขึ้นในวิทยาลัยเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกเรา” หญิงสาวปรารภ

“ก็ ผอ. นั่นแหละ เป็นต้นเหตุ” เคียบ กล่าวหา

“ถ้าทำไปตามแบบที่เขากำหนดไว้ก็สิ้นเรื่อง” เขาย้ำ

“คงจะมีเลศนัยอะไรสักอย่าง” เขากล่าวหา ผอ. อีก

“เรื่องจริงมันเป็นอย่างไรล่ะ” หล่อนถาม

เคียบ ขยับตัวอีก ใบหน้าบ่งบอกถึงความเหนื่อยหน่ายกับเรื่องที่เกิดขึ้น ยกเบียร์ขึ้นดื่มก่อนที่จะเล่า

“เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี 40 วิทยาลัยได้งบประมาณสร้างตึก เนื่องจากขาดแคลนห้องสอนปฏิบัติ วิชาดนตรี นาฏศิลป์ และศิลปะ”

“ก็ดี ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

“ก็นั่นนะซิ แต่เมื่อได้รับงบ สร้างตึกเสร็จ ผอ. เกิดไม่ยอมให้พวกศิลปะใช้ตึกนั้น อ้างว่าขอตึกมาเพื่อแก้ปัญหาการสอนของดนตรีนาฏศิลป์ ไม่ได้ขอให้ศิลปะ”

“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ แย่จริงๆ แค่พูดว่าไม่ได้ขอให้ก็แย่แล้ว เห็นมีหลักฐานว่าขอให้ศิลปะด้วย จริงหรือเปล่า”

“จริงซิ !”

“แสดงว่า ผอ. โกหก”

“อยากคิดอย่างนั้นก็คิดได้”

“ห่วยแตกจริงๆ” หญิงสาวสบถในใจ

“ความจริงแล้ว ตึกที่ได้มามีขนาดใหญ่ สูงถึงสามชั้น เขาออกแบบให้มีห้องฝึกปฏิบัติเฉพาะ โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหน้าเป็นห้องเรียน ห้องสมุด ห้องโสตฯ และห้องทำงานอาจารย์ ส่วนหลัง ชั้นล่างด้านหนึ่งเป็นเวทีดนตรีไทย อีกด้านหนึ่งเป็นเป็นเวทีดนตรีสากล ชั้นสองเป็นห้องปฏิบัติการดนตรี ส่วนชั้นสามเป็นห้องปฏิบัติการศิลปะ

ปัญหาก็คือ ในแบบแปลนไม่ได้เขียนห้องปฏิบัติการของนาฏศิลป์ไว้ ซึ่งพอจะเข้าใจได้เองว่า ผู้เขียนแบบคงเห็นว่าดนตรีและนาฏศิลป์เป็นวิชาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เวทีการแสดงนั้น น่าจะใช้เป็นห้องปฏิบัติการร่วมกันได้” เคียบอธิบาย

“แล้วพวกศิลปะ ทำอย่างไรล่ะ”

“พวกศิลปะก็ไม่ยอมซิ ขอให้ ผอ. ทบทวนใหม่ เพราะตามหลักฐานก็ขอให้ศิลปะ ที่สำคัญมีงบประมาณผูกพัน อันเป็นสิทธิ์ที่ศิลปะควรจะได้รับด้วย”

“ตรงนี้สำคัญมาก เพราะวิทยาลัยอ้างศิลปะเพื่อของบประมาณสร้างตึก แต่เวลาได้ตึกกลับไม่ยอมให้ ถือเป็นการหมกเม็ด ไม่โปร่งใส”

“แล้ว ผอ. ทำอย่างไรต่อ”

“แกก็เลี่ยง โดยวิธีตั้งกรรมการพิจารณา ที่น่าสังเกตก็คือ แกต้องการทำเรื่องที่ถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจ ให้เป็นเรื่องถูกใจแก โดยใช้กรรมการเป็นเครื่องมือ ในที่สุด กรรมการก็ตัดสินตามที่แกต้องการ โดยเอาห้องที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในแบบแปลน ว่าเป็นห้องปฏิบัติการศิลปะ เปลี่ยนให้เป็นห้องปฏิบัติการนาฏศิลป์ และจัดห้องเรียนปกติให้ศิลปะ”

“แย่จริงๆ พวกกรรมการนีบ้าจี้นะ” หล่อนพูดเชิงตำหนิ

“พวกเขาก็พยายามเอาใจ ผอ. นั่นแหละ ไม่ยอมรับรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ซื่อบื้อจริงๆ”

“คงไม่ถึงอย่างนั้นมั้ง” หล่อยแย้ง

“เขาว่ากันว่า บางคนถึงกับยอมขายวิชาชีพ เพื่อสนอง “นีด” ผอ. และเมียแก”

“เอ้า ! แล้วเมียแกมาเกี่ยวข้องอะไรด้วยล่ะ”

“ก็เมีย ผอ. เป็นอาจารย์นาฏศิลป์ เธอไม่รู้รึ”

“ฮ่วย ! อย่างนี้นี่เองถึงยุ่ง”

“แล้วพวกศิลปะจะทำอย่างไรกันต่อไปล่ะ”

“เท่าที่รู้ก็ว่า เมื่อ ผอ. ทำไม่ถูก ไม่ยุติธรรม ลำเอียง เลือกปฏิบัติ ได้พากันเรียกร้องขอความเป็นธรรม มี นศ. ออกมาตั้งเวทีประท้วง แจกแผ่นปลิว ก็แผ่นที่เธออ่านอยู่นั่นแหละ”

“ในแผ่นปลิว เขาว่า พวกเขาต้องการความเป็นธรรม ต้องการรักษาสิทธิ์อันพึงมีพึงได้ และจะเรียกร้องอย่างสันติเพื่อรักษาสิ่งที่ถูกต้องไว้”

“ก็ดี เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ควรจะเรียกร้อง”

“เคียบ ! ” เสียงเรียกทำให้เขาหันหน้ากลับมาทางหญิงสาว

“แล้วที่ เคียบ ว่าเจ็บปวดน่ะ เจ็บปวดอย่างไร”

“อ๋อ ! ก็เจ็บปวดกับผู้คน”

“หมายความว่าอย่างไร”

“อธิบายไม่ถูกหรอก” เคียบแสดงสีหน้าครุ่นคิด

“ยกตัวอย่างก็แล้วกันนะ” เคียบว่า

“ได้ ตามใจเธอ”

“จำนิทานเรื่องสองเกลอเจอหมีสมัยเรียนได้ไหม”

“จำไม่ได้หรอก เรื่องมันเป็นอย่างไร”

“ก็มีชายสองคน เป็นเพื่อนสนิทรักใคร่กันมาก วันหนึ่ง เดินไปเที่ยวในป่าด้วยกัน พอดีเพื่อนคนหนึ่งเหลี่ยวหลังเห็นหมีใหญ่กำลังวิ่งตามมา ก็เลยหนีขึ้นต้นไม้ โดยไม่ยอมบอกเพื่อน เมื่อเพื่อนเหลี่ยวหลังไปดูบ้าง เห็นหมีวิ่งมา แต่อยู่ใกล้มากแล้ว จะวิ่งหนีก็ไม่ทัน ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยทำเป็นนอนตาย หมีเข้ามาดมๆแล้วก็เดินจากไป

เพื่อนที่หนีขึ้นต้นไม้กลับลงมาถามเพื่อนว่า เมื่อกี้เห็นหมีเข้าไปกระซิบที่หูหมีบอกอะไรเพื่อน เพื่อนคนที่ทำเป็นนอนตายบอกว่า อย่าคบเพื่อนที่เอาแต่ตัวรอด”

2

ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมาเกือยถึงยอดไม้แล้ว แสงแดดกล้าเปลี่ยนเป็นแดดอ่อน ยามค่ำกำลังจะคืบคลานมา นกเริ่มบินกลับรวงรัง เสียงรถอีแต๋นดังมาแต่ไกล ค่อยเห็นชัดขึ้นเมื่อเข้ามาใกล้ สัมภาระที่บรรทุกมาจนเต็มทำให้รถที่เคลื่อนตัวได้ช้า กลับยิ่งช้าลงไปอีก ท้องนาที่เก็บเกี่ยวแล้วดูแห้งเฉา ทิ้งตอข้าวแห้งไว้อย่างไม่ใยดี พื้นนาแข็งขรุขระแตกระแหง เด็กๆวิ่งขโยกขเยกเล่นว่าวกันอย่างสนุกสนาน บางคนม้วนด้ายเก็บเพื่อจะกลับบ้าน บางคนก็เอาแต่ละเล่นไม่รู้มืดรู้ค่ำ หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับชายหนุ่ม เอ่ยขึ้น

“ไปกันเถอะ เกือบได้เวลาแล้ว เดี๋ยวพวกนั้นจะรอ”

วันนี้ พวกเรา ศิษย์เก่าศิลปะนัดรวมกัน ก็เนื่องจากได้ข่าวว่าน้องๆศิลปะ ประท้วง เลยพากันมาให้กำลังใจ

เมื่อพบกันแล้วก็ถือโอกาสเลี้ยวกัน กะว่าจะปรึกษาหารือกัน เผื่อมีช่องทางได้ช่วยเหลือครูบาอาจารย์เขาบ้าง ก็จองโต๊ะไว้แล้ว ร้านอาหารในเมือง

“ครูเจ็ก มาหรือเปล่า” ปะเคียบถาม

“ต้องมาซิ รายนี้ขาดไม่ได้อยู่แล้ว” หญิงสาวตอบ

“เมื่อวันก่อนยังขึ้นไปอภิปรายช่วยพวกเอกศิลป์บนเวทีประท้วงเลย” หล่อนเสริม

“เดี่ยวกันก็โดน ครูใหญ่เล่นงานเอาหรอก” ปะเคียบ พูเตือน

“ไม่มีทาง ครูใหญ่เกรงใจมันจะตาย เพราะมันทำชื่อเสียงให้โรงเรียนไว้มาก”

3

ถนนหนทางในเมืองช่วงค่ำค่อนข้างจะพลุกพล่าน ผู้คนเดินไปมา จับจ่ายซื้อหาอาหารกันวุ่นวาย สองข้างถนนเต็มไปด้วยยวดยานพาหนะ ทั้งรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซด์ ที่จอดกันอย่างไม่สู้จะเป็นระเบียบนัก ตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ตั้งเรียงอยู่ข้างถนน 4-5 ตู้ มีคนโทรเต็มทุกตู้ คนโทรก็โทรไป ดูยิ้มแย้มแจ่มใส บิดไปบิดมา หัวร่อต่กระซิกกัน จนลืมคนที่ยืยรอใช้โทรศัพท์ต่อเสียสนิท ส่วนคนรอก็รอด้วยความรุ่มร้อนกระวนกระวายใจ ความจริงโทรศัพท์สาธารณะนั้น คือ เครื่องมือสื่อสารธุระกิจการงานร่วมกัน การใช้ต้องใช้อย่างเหมาะสม คิดถึงคนอื่นที่ต้องใช้ร่วมด้วย ไม่ใช่ใช้พูดหยอกล้อกันเล่น สังคมไทยลืมเกรงอกเกรงใจกันไปเสียแล้ว

ปะเคียบ คูเมือง กับหญิงสาวมาถึงหน้าร้านอาหารที่นัดหมายกันไว้ เขาพบ ครูเจ็ก พอดี

“มานานหรือยัง” ปะเคียบถาม

“เพิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้แหละ” ครูเจ็กตอบ

“เดี๋ยวพวกเราคงจะทยอยกันมา”

“มีมากี่คนนะ เจ็ก” ปะเคียบถาม

“ก็ 8-9 คนเท่านั้น มาเฉพาะคนที่มาได้”

“เออ ! แกจองโต๊ะไหนไว้ล่ะ” ครูเจ็กถาม

“โต๊ะโน้น” เคียบมองไปที่มุมห้อง

“เอ้า ! ใครมานั่งอยู่เต็มไปหมดเลย ใช่พวกเราหรือเปล่า” เคียบเอ่ย หันหน้าไปทางครูเจ็ก

“ไม่ใช่หรอก” ครูเจ็กว่า

“ใครเอาโต๊ะเราไปนะ” ปะเคียบบ่นพึมพำ

“ลองเข้าไปถามเจ้าของร้านดูซิ เคียบ มันอย่างไรกันแน่” ครูเจ็กเสนอแนะ

เราสามคนเดินตรงเข้าไปหาเจ้าของร้าน ซึ่งรีบกุลีกุจอมาต้อนรับ

“โต๊ะที่ผมจองไว้ล่ะ เถ้าแก่” ปะเคียบเอ่ยถามและจ่องตาเจ้าของร้านเขม็ง

เจ้าของร้านหลบสายตาเขา พูดเงอะๆงะๆ “ขอโทษครับ พอดีแขกเขาจะนั่งตรงนั้น”

“เอ้า ! ผมจองไว้แล้ว ให้คนอื่นไปได้อย่างไรล่ะ”

“ขอโทษทีเถอะครับ โต๊ะนี้ก็ดีครับ” เจ้าของร้านโน้มน้าว

” ไม่ได้หรอก อย่างนั้นจะจองไว้หาหอกอะไร” เคียบ เริ่มมีอารมณ์

ไม่มีมารยาทกันเลยโว้ย เคียบสบถ เขาอยากตะโกนให้พวกที่แย่งโต๊ะของเขาไปได้ยินด้วย

ครูเจ็กพูดขึ้นบ้างว่า “เฮียทำอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่ถูกนะ”

“ขอโทษเถอะครับ ขอโทษจริงๆ เอาโต๊ะนี้ก็แล้วกัน จะคิดราคาพิเศษ” เจ้าของร้านหันไปพูดกับครูเจ็ก ยืนตัวโค้งงออย่างนอบน้อม

“พูดอย่างนั้นได้ไง ดูถูกกันนี่หว่า” ครูเจ็กขึ้นเสียง

“ขอโทษครับ ขอโทษ”

“อั้วนกะ ไม่สนใจเรื่องราคงราคาหรอก” ครูเจ็กว่า

“แต่อั้วสนใจตรงที่ว่า เมื่ออั้วจองไว้ ลือจะเอาไปให้ใครไม่ได้” ครูเจ็กย้ำ

“ขอโทษเถอะครับ มันจำเป็นจริงๆ” เจ้าของร้่านแสดงอาการให้เห็นว่าสำนึกผิด

เคียบเดินหลบไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไป รู้สึกเซ็งกับเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนครูเจ็กก็ต่อล้อต่อเถียงอยู่กับเจ้าของร้าน พวกเพื่อนๆก็ทยอยกันเข้ามารุมล้อม ส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรไปหมด เด็กเสริฟก็พลอยงุนงงไปกับยเหตุการณ์นี้ด้วย

เวลาผ่านไปสังครู เจ้าของร้านแอบแยกมานั่งใกล้กับปะเคียบ พวกครูเจ็ก็เดินตามมาด้วย

“คุณปะเคียบ ครับ” เจ้าของร้านพูดเสียงสั่น หน้าขาวซีด

“ขอร้องเถอะ อย่าให้มีเรื่องมีราวเลย มันผิดพลาดไปแล้วจริงๆ”

“ผิดพลาดอย่างไร มีเหตุผลหรือเปล่า” ผมเค้น

“ครับ” เจ้าของร้านยื่นหน้ามาใกล้เคียบ พูดเบาๆแบบไม่อยากให้ใครได้ยินว่า “ก็คนที่มาแย่งโต๊ะคุณปะเคียบไปน่ะ เมียผมเองครับ ผมบอกเธออย่างไรเธอก็ไม่ฟัง จะเอาโต๊ะนั้นให้ได้ ผมไม่รู้จะทำอย่างไร จนปัญญาจริงๆ ช่วยผมทีเถอะครับ” เจ้าของร้านขอความเห็นใจ

ปะเคียบ นิ่งไปชั่วครู ไม่พูดอะไร มองหน้าเพื่อนๆที่จ้องมาเป็นจุดเดียวกัน ความเงียบคลืบคลานเข้ามาแทนที่เสียเอะอะเอ็ดตะโร ทุกคนกำลังรอการตัดสินใจ

เคียบ ลุกขึ้นยืน ตดดัง ปรืด…ปรืด…ปรืด…ด…ด…ด…ด ! แล้วก็พาเพื่อนๆเดินออกจากร้านไป

……………

8 thoughts on “ตดทรนง

Comments are closed.