ปราสาทพระวิหาร : สัจจะแห่งกาลเวลา
พลังบันดาลความรักและความเมตตากรุณาให้เกิดแก่มวลมนุษยชาติ
รศ.วิสุทธิ์ ภิญโญวาณิชกะ
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกใน สารประชาสัมพันธ์ประจำสัปดาห์ สถาบันราชภัฏบุรีรัมย์
ปีที่ 23 ฉบับที่ 27 วันที่ 6 – 12 ตุลาคม 2541
มีคนไทยเป็นจำนวนมากใฝ่ฝันที่จะได้ชื่นชมความงามของปราสาทพระวิหาร ที่ตั้งอยู่บนภูเขา เขตชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดศรีสะเกษ แต่เนื่องจากปัญหาการเมืองในกัมพูชา จึงทำให้ไม่สามารถขึ้นไปชมได้ ก็ได้แต่วนเวียนไปมาแถวผามอดีแดงที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ซึ่งก็พอมองเห็นได้ในระยะไกล ดังนั้น เมื่อสถานการณ์การเมืองดีขึ้น จังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดพระวิหารของกัมพูชา ได้เลงเห็นถึงความจำเป็นที่จะนำทรัพยากรทางวัฒนธรรมแห่งนี้มาใช้ เพื่อสู้ภัยเศรษฐกิจ จึงได้เปิดให้ประชาชนได้ขึ้นไปชม เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นมา ซึ่งปรากฏว่า มีประชาชนพากันหลั่งไหลขึ้นไปชมเป็นจำนวนมากทุกๆวัน บางคนชมแล้วก็กลับไปชมอีก เพราะทุกครั้งที่ไปก็ได้ดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่และความงามที่ไม่รู้เบื่อไปเสียทุกครั้ง และจากการที่มีประชาชนไปชมกันเป็นจำนวนมากก็ทำให้เป็นที่วิตกไปว่า สมบัติทางวัฒนธรรมของมวลมนุษยชาติแห่งนี้จะแหลกลาญไปเพราะไปเพราะผู้คนเสียละกระมัง ก็ได้แต่ภาวนาว่า เหตุการณ์เช่นนี้จะค่อยๆคลี่คลายและทุเลาเบาบางลงในไม่ช้า
เขาพระวิหารตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงเร็ก (ภาษาเขมรแปลว่าไม้คาน) ซึ่งมีความสูงจากพื้นดิน 547 เมตร และสูงกว่าระดับน้ำทะเล 657 เมตร เป็นภูเขาที่กั้นเขตชายแดนไทย-กัมพูชาด้านทิศตะวันออก (ทิศเหนือของกัมพูชา) ที่บ้านภูมิซรอล (ภูมิ = บ้าน ซรอล = ต้นสน ) ตำบลบึงมะลู (มะลู = พลู ) อ. กันทรลักษ์ (ภาษาไทย = อำเภอที่มีช่องเขาเป็นแสน) จ. ศรีสะเกษ ระหว่างช่องโพย (ตะวันตก) กับช่องทะลาย เขตติดต่อประเทศกัมพูชา
การเดินทางไปชมปราสาทพระวิหารก็สะดวกสบายมาก ระยะทางจากบุรีรัมย์ประมาณ 250 กิโลเมตรเท่านั้น โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 226 บุรีรัมย์ – สุรินทร์ แยกเข้าทางหลวง 2077 ไปอำเภอลำดวนและอำเภอสังขะ จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 24 ไปอำเภอขุขันธ์ อำเภอกันทรลักษ์ และเข้าทางสาย 221 ไปเขาพระวิหาร แต่ถ้ามาจากรุงเทพฯ ก็แยกจากทางหลวงหมายเลข 2 ที่อำเภอสีคิ้ว โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 24 โชคชัย – เดชอุดม จะผ่านอำเภอหนองบุญนาค* อำเภอหนองกี่ อำเภอนางรอง อำเภอประโคนชัย อำเภอปราสาท และอำเภอขุขันธ์ตามลำดับ ระยะทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 600 กิโลเมตรเท่านั้น
แต่เดิมนั้นปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตประเทศไทย แต่เมื่อปี พ.ศ. 2502 ได้เกิดกรณีพิพาท โดยทางกัมพูชาอ้างว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา และได้ฟ้องร้องต่อศาลโลก จนในปี พ.ศ. 2505 ศาลโลกได้พิพากษาว่า “ซากปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ทั้งนี้เป็นไปตามแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้นตามสนธิสัญญา พ.ศ. 1447 และ พ.ศ. 2450 โดยอาศัยเหตุผลที่ว่าประเทศไทยพึงเฉย มิได้ประท้วงแผนที่ดังกล่าว” (ธิดา สารยา.2536: 99)
ปราสาทพระวิหาร เป็นปราสาทขนาดใหญ่สร้างด้วยหินทราย ตั้งอยู่บนภูเขาสูง หันหน้าไปทางทิศเหนือ อายุราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นศิลปะเขมรสมัยบาปวน (ประมาณ พ.ศ. 1550-1600) รุ่งเดียวกับปราสาทเมืองต่ำ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นเทวสถานที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ ในลัทธิไศวนิกายที่นับถือองค์พระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นศาสนสถานที่เกี่ยวข้องกับผู้คนมากมายหลายเผ่าพันธ์ หลายคติความเชื่อ ซึ่งตั้งหลักแหล่งอยู่ในบริเวณนี้
การเข้าชมปราสาท จะต้องเดินขึ้นบันได ซึ่งมีความสูงมาก ขึ้นไปบนลานที่ทำเป็นประตูทางเข้า ลานมีทั้งหมด 4 ชั้น แต่ละชั้นประกอบด้วยบันไดทางขึ้น โคปุระหรือประตูทางเข้าและทางเดินเชื่อมต่อกัน มีความยาวจากบันไดทางขึ้นถึงองค์ปราสาทประธานประมาณ 800 เมตร
ลานชั้นที่หนึ่งและสอง ทำเป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่แบบเดียวกับซุ้มประตูศาสนสถานเขมรทั่วๆไป แต่ไม่มีกำแพงแก้วหรือระเบียงคดล้อมรอบ ใช้สำหรับทำสมาธิบูชาพระผู้เป็นเจ้าก่อนถึงองค์เทวลัย
ลานชั้นที่สาม เป็นประตูทางเข้าที่มีอาคารประกอบเป็นปีกทั้งสองข้าง น่าจะเป็นที่พักสำหรับผู้มาแสวงบุญ
ลานชั้นที่สี่ เป็นประตูทางเข้าสู่มหามณเฑียรที่มีระเบียงคดล้อมรอบ และต่อเนื่องไปยังมหาปราสาทหรือเทวลัย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาคารทั้งหมด ตรงกลางเป็นปราสาทประธานซึ่งประดิษฐานศิวลึงค์ มีระเบียงคดล้อมรอบ ปัจจุบัน ปราสาทประธานได้พังทะลายลงแล้ว ยังเหลือแต่มณฑปด้านหน้า
ด้านหลังระเบียงคดปราสาทประธาน เป็นชง่อนผาที่สามารถชมทิวทัศน์และบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติของดินแดนเขมรต่ำได้เป็นอย่างดี
ปราสาทพระวิหารศาสนบรรพตที่ เอเตียน เอโมนิเยอร์ (Etiene Aymoier) ได้พรรณาไว้เมื่อกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้วว่า “ในบรรดาศาสนสถานในประเทศกัมพูชาทั้งมวล ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าศาสนสถานที่เขาพระวิหารมีความเด่นและความงดงามเป็นที่สุด” และ ชาลส์ เนลสัน สปิงค์ (Charles Nelson Spinks) ผู้ที่ศึกษาโบราณสถานแห่งนี้อย่างละเอียด กล่าวว่า “ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางโบราณคดีแห่งหนึ่งของเอเซียอาคเนย์…ความมโหฬารของที่ตั้งท่ามกลางป่าเขาและความยิ่งใหญ่ของแผนผังปราสาท อาจจัดเทียบปราสาทเขาพระวิหารแห่งนี้กับโบโรพุทโธในเกาะชวา หรือแม้แต่การเทียบเทียมกับความเป็นเลิศทางสถาปัตยกรรมของเขมรอันได้แก่ประสาทนครวัดที่ไม่มีอะไรเทียบเทียมได้” (สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์.2536: 32ม34) และถ้าท่านมีโอกาสได้ไปสัมผัสโบราณสถานแห่งนี้แล้ว จะพบว่า คำกล่างข้างต้นนั้น ไม่เกินเลยความจริงแต่อย่างใด เพราะศาสนบรรพตแห่งนี้มีทั้งความงดงามที่ได้สัดส่วน ความน่าสพึงกลัวที่เป็นพลังอำนาจลี้ลับบันดาลความรักและความเมตตากรุณาให้เกิดขึ้นแก่มวลมนุษย์ มีเสน่ห์ที่ชวนให้หลงไหลกับบรรยากาศของแต่ละช่วงเวลาที่จะตรึงตาตรึงใจท่านให้เพลิดเพลินอยู่กับสุนทรียรส สายหมอกที่พัดผ่านซากปรักหักพังที่สงบนิ่งท้าทายกาลเวลาอยู่นั้น นอกจากจะเป็นภาพที่สร้างความประทับใจจนยากที่จะลืมเลือนได้แล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงสัจจะแห่งกาลเวลาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ท่านจะได้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการไปชมปราสาทแห่งอื่นๆที่ได้บูรณะปฏิสังขรณ์จนเป็นของใหม่ไปหมดแล้ว
ปราสาทพระวิหาร มรดกทางวัฒนธรรมของมวลมนุษยชาติ ซึ่งไม่ติดอยู่กับความเป็นชาติใดชาติหนึ่ง แต่เป็นสถานที่ที่แสดงถึงพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมของมนุษยชาติโดยรวม
ท่านละครับ ได้ไปชมปราสาทพระวิหารแล้วหรือยัง
——————
* ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นอำเภอหนองบุญมาก
หนังสืออ้างอิง
สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์. รศ.ดร.ม.ร.ว. ปราสาทพระวิหาร.2536.
(ธิดา สารยา.เขาพระวิหาร.เมืองโบราณ.2536.
Thk ขุขันธ์