กรณีปราสาทพระวิหาร : การรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนของประเทศชาตินั้น จะต้องอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง
รศ. วิสุทธิ์ ภิญโญวาณิชกะ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 25 กันยายน 2552
………………………………………….
ในช่วงนี้ ผมได้มีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมของ คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา 2 ครั้ง ครั้งแรก เมื่อวันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2552 เป็นการเสวนา เรื่อง “แผ่นดินเขาพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร บทพิสูจน์ศักดิ์ศรีและอธิปไตยของไทย” ที่ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 306 – 308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2 (ตึกวุฒิสภา) และครั้งที่ 2 เมื่อวันอังคารที่ 22 กันยายน 2552 เป็นการสัมมนา เรื่อง แสวงหาความจริง : แผ่นดินเขาพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร ตั้งแต่ กรกฏาคม พ.ศ. 2505 – ปัจจุบัน” ที่ห้องกมลทิทพ์บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมสยามซิตี้ ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร กิจกรรมทั้ง 2 ครั้ง ดังกล่าว จัดโดยคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีปราสาทพระวิหาร
ก่อนอื่น ผมต้องขอแสดงความชื่นชม กับคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ที่ได้จัดกิจกรรมที่ดี มีประโยชน์ นี้ มาอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจติดตามสถานการณ์และความจริงใจในการแสวงหารากเหง้าของปัญหาที่สำคัญของชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการสัมมนาและประมวลผลเป็นข้อสังเกต ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการเพื่อรักษาอธิปไตยของไทย ต่อไป เพราะเรื่องของการสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนที่เป็นประเทศไทยนั้น เราจะปล่อยปละละเลยไม่ได้เป็นอันขาด
ส่วนผลสรุปของการสัมมนานั้น ไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด เพราะข้อมูลและการตีความข้อกฏหมาย เป็นการตีความจากกลุ่มบุคคลเฉพาะกลุ่ม ยังไม่หลากหลายพอ เพราะยังมีกลุ่มอื่นที่ไม่เห็นด้วย แต่ผมมีข้อสังเกตหลายประการเกี่ยวกับกิจกรรมทั้ง 2 ครั้ง ดังนี้
1. เนื่องจากสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน มีความขัดแย้งกันค่อนข้างสูง มีการแบ่งแยกกันเป็นพวก เป็นกลุ่มอย่างเด่นชัด ดังนั้นคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา น่าจะต้องระมัดระวังบทบาทของตัวเองให้มาก จะต้องไม่เอนเอียงไปกับกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นการเฉพาะ หรือเข้าข้างกลุ่มที่มีความคิดเห็นสอดคล้องกันตนเอง แต่ปรากฏว่า การสัมมนาที่จัดขึ้นมิได้เป็นอย่างนั้น จะเห็นได้จากเอกสารโครงการสัมมนา เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2552 ที่โรงแรมสยามซิตี้ เราจะพบว่า แทนที่คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ซึ่งมีศักยภาพสูงมาก มีบุคลากร และงบประมาณพอเพียง สามารถจัดสัมมนาเองได้ตามลำพัง แต่กลับไปจัดร่วมกับภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่าเป็นกลุ่มใดพวกใคร เลยทำให้บทบาทตรงนี้เสียหายไป
ที่นี้มาดู กลุ่มเป้าหมายของโครงการ จะเห็นได้ว่า กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เช่นกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนจากกรมแผนที่ทหาร ฯลฯ และกลุ่มต่างๆอีกมากที่อยู่ในภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหาร ดังนั้น จึงไม่ปรากฏรายชื่อของกลุ่มอื่นที่มีความคิดต่าง เช่นกลุ่มเสื้อแดง เป็นต้น ซึ่งความจริงแล้วไม่ควรระบุกลุ่ม เป้าหมาย ควรกำหนดกว้างๆเพียง หน่วยงาน องค์กรต่างๆ และประชาชนชาวไทยทั่วไปก็น่าจะเหมาะกว่า
ตามที่กล่าวมา จึงเห็นได้ว่า บทบาทของคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ในสภาพสังคมที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงเช่นนี้ ไม่น่าจะสวยงามนัก
2 จากการได้เข้าร่วมกิจกรรมทั้ง 2 ครั้ง พบว่า ครั้งแรก ที่ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2 (ตึกวุฒิสภา) จะมีตัวแทนของหน่วยงานต่างๆ เช่นจากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกกล่าวร้ายไปมากพอสมควร ดังนั้น จะเห็นว่า การสัมนาครั้งที่ 2 ที่โรงแรมสยามซิตี้ ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ไม่มีตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆเข้ามาร่วมกิจกรรมเลย แต่จะมาหรือไม่มาก็ถูกกล่าวร้ายไปมากพอสมควรอีกเหมือนกัน
3. ผมมีประสบการณ์ในการเข้าร่วมเสวนาและการสัมมนาในเรื่องต่างๆหลายครั้ง บรรยากาศโดยทั่วไป จะเป็นบรรยากาศทางวิชาการ ที่มีการนำเสนอข้อมูลและข้อคิดเห็นในหลายแง่หลายมุม มีการอภิปรายเพื่อโน้นน้าวให้สัมมนาสมาชิกได้คล้อยตามสิ่งที่เป็นทัศนะและข้อมูลหลักฐานของตนเอง และมีการอภิปรายโต้แย้งโดยใช้หลักฐานข้อมูลที่หลากหลาย สุดท้ายก็จะสรุปหรืออาจสรุปไม่ได้ ก็ต้องว่ากันต่อไปอีก
แต่ปรากฏว่า บรรยากาศของการสัมมนาที่โรงแรมสยามซิตี้ ไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น มีการออกมาพูดโจมตีฝ่ายตรงข้าม อย่างเผ็ดร้อน มีการโห่ ฮา เมื่อมีผู้พูดที่แสดงทัศนะไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของตนเอง มีการปรบมือให้กับภาพวิดีทัศน์ บุคคลที่เป็นกลุ่มพวกของตัวเอง หรือโห่ ฮา เมื่อได้เห็นภาพบุคคลที่เป็นฝ่ายตรงข้าม นอกจากนั้น ยังมีบุคคลระดับสูง พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด อันแสดงให้เห็นถึงการขาดวุฒิภาวะของคนที่อยู่ในระดับนั้นด้วย จึงขอสรุปว่า การสัมมนา เรื่อง แสวงหาความจริง : แผ่นดินเขาพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร ตั้งแต่ กรกฏาคม พ.ศ. 2505 – ปัจจุบัน” เมื่อวันอังคารที่ 22 กันยายน 2552 ที่โรงแรมสยามซิตี้ ถนนศรีอยุธยา นั้น ไม่ใช่การสัมมนา แต่เป็นกิจกรรมการร่วมชุมนุม เฉพาะกลุ่ม ที่ต้องการแต่ความสะใจมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ผมมีข้อเสนอแนะสำหรับเรื่องนี้อยู่ 2-3 ประการ ดังนี้
1. เกี่ยวกับกรณีขัดแย้งเรื่องดินแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เขาพระวิหาร ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ควรจะเชิญบรรดานักกฏหมาย ที่มีชื่อเสียง มาช่วยกันคิด ช่วยกันตีความ ข้อกฏหมาย และสรุปกันให้ได้ก่อนว่า “การยื่นคำประท้วงคัดค้านไปยังสหประชาชาติและตั้งข้อสงวนอย่างชัดเจนว่าไทยสงวนสิทธิที่มีหรือพึงมีในอนาคตที่จะดำเนินการเรียกคืนซึ่งการครอบครองปราสาทพระวิหารโดยสันติวิธี” เมื่อปี พ.ศ. 2505 นั้น มีอายุความหรือไม่ ถ้ามีอายุความ 10 ปี อย่างที่หลายคนว่า ก็จะได้เลิกลาเรื่องนี้กันไป ถ้าไม่มีอายุความ ก็จะได้มาร่วมกันคิด ค้นหาหลักฐาน เพื่อหาทางนำเอาปราสาทพระวิหาร กลับคืนมาเป็นของเราให้ได้ต่อไป
2. เกี่ยวกับพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่อยู่รอบปราสาทพระวิหารนั้น หาข้อสรุปให้ได้ว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทยหรือของกัมพูชากันแน่ เอากันให้ชัดเหมือนกัน ถ้าเป็นของกัมพูชาก็จบ จะได้เลิกลากันไป แต่ถ้าเป็นของไทย คงต้องมาคิดร่วมกันว่า จะทำอย่างไรจึงจะผลัดดันให้ชาวกัมพูชาที่บุกรุกเข้ามานั้น ถอยกลับออกไปให้ได้
3. ความจริงก็คงจะแค่นี้ก่อนให้ได้ข้อสรุปเสียก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ แต่อดคิดต่อไปไม่ได้ว่า หากได้ข้อสรุปว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร นั้น เป็นของไทย เราก็จะต้องมาช่วยกันคิดว่า เราจะทำอย่างไรกันดี
ดังนั้น การเสวนา หรือ การสัมมนาที่จะจัดขึ้นต่อไปโดย คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ก็จะเน้นไปที่การระดมสมองเพื่อหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น การเชิญประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมก็จะต้องเป็นประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่มีกลุ่ม ไม่มีพวก บรรยากาศก็จะมีแต่ความรัก ความสมัครสมานสามัคคี การเริ่มต้นก็ต้องไม่มีการพูดถึงเรื่องเก่า ไม่ต้องพูดว่า เราได้มาอย่างไร เราเสียไปอย่างไร จะไม่โทษคนโน้น โทษคนนี้ มีแต่คิดไปข้างหน้า เพื่อหาช่องทางที่จะดำเนินการเพื่อให้เราสามารถรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนบริเวณนั้นไว้ให้ได้
จริงอยู่ เราอาจจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่เรื่องการรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนของประเทศชาตินั้น จะต้องอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง
ผมเชื่อว่าถ้างานนี้สำเร็จเรียบร้อย เราก็จะรักกัน และเมื่อรักกันแล้ว ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมาทะเลาะกันอีกต่อไป
………………….
Comments are closed.