ประชุมสภา:พิจารณางบประมาณ

วิสุทธิ์ ตูน 20 สค.53

‘ป๊อก’ตบปากส.ส. ซัดฝ่ายค้านพูดเลยเถิดยันงบกห.แผนงานเก่า
ไทยโพสต์ ข่าวหน้า 120 สิงหาคม 2553 – 00:00

พิจารณางบกลาโหม เพื่อไทย “กลวง” ขุดของเก่าหากิน ข้อมูลตลาด “กริพเพน-รถเกราะล้อยาง” มักง่ายอภิปรายฉาบฉวยตามๆ กันไป หวังแค่หาเสียงกับชาวบ้าน “ป๊อก” ฮึ่ม! ซัด ส.ส.พูดเลยเถิด ใช้ความรู้สึก ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง สอนมวยต้องวิพากษ์ด้วยความรู้ อย่ามีเลศนัยอยู่ข้างหลัง ตอกใช่ว่า ผบ.ทบ.ตื่นเช้าไปซื้อหมูซื้อผัก ที่เพื่อไทยด่ากันอยู่เป็นแผนงานที่ต่อเนื่องจากรัฐบาลเก่า “เติ้ง” เผยตรวจสอบทุกเสียงของพรรคร่วมแล้วงบผ่านฉลุย

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 เป็นวันที่สอง โดยพิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมจำนวน 170,285,022,900 ล้านบาท ซึ่งมีการจับตามองก่อนหน้านี้ว่า พรคฝ่ายค้านจะโจมตีอย่างหนัก เนื่องจากยังคงมีความไม่พอใจกองทัพจากกรณีกระชับพื้นที่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ก่อนการประชุม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ให้สัมภาษณ์กรณีงบฯ ในส่วนของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ยังคงกำลังถึง 4,000 คน ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากว่า ความจริงก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องที่ผิดปกติ เมื่อมีภารกิจที่ต้องปฏิบัติ เราก็ดำเนินการกันไปตามกฎเกณฑ์กติกา กำลังเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย เราก็ต้องดูแลเรื่องเบี้ยเลี้ยงและค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ถือเป็นเรื่องปกติ
ส่วนเรื่องการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีการจ่ายเงินไปแล้วส่วนหนึ่งแต่ยังไม่ได้ และยังซื้อล็อตใหม่อีก โดยเฉพาะรถหุ้มเกราะนั้น รองนายกฯ กล่าวว่า กรณีการซื้อล็อตใหม่นั้นยังไม่มี แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นการซื้อรถหุ้มเกราะลำเลียงพลที่ซื้อมา ซึ่งเป็นการเจรจาซื้อกันไว้ตั้งแต่รัฐบาลก่อนที่ได้เจรจาตกลงกันไว้ ส่วนเรื่องของเครื่องยนต์ที่จะต้องเปลี่ยนนั้น เป็นเรื่องของการเจรจาระหว่างประเทศ ซึ่งมีเงื่อนไขในการซื้อขายกัน และเท่าที่ตนได้ติดตามทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกาปกติ
“งบของกระทรวงกลาโหม เมื่อเทียบกับงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์คิดว่ายังน้อยกว่าบางยุคบางสมัยด้วยซ้ำไป” นายสุเทพกล่าว
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า สิ่งที่พูดได้ในสภาคือควรจะดำเนินการอย่างไร พัฒนาไปด้านไหน แต่นี่พูดมันเกินขั้นไปแล้ว เพราะขณะนี้ยังไม่ถึงการใช้งบประมาณปี 54 แต่หากสื่อจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร หรือมีใครตรวจสอบถือเป็นเรื่องดี เพราะประเทศชาติจะได้ประโยชน์ การถูกตรวจสอบไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่พูดในสภาตอนนี้ถือว่าเร็วไปหน่อย
“ขณะนี้น่าจะเป็นการพูดถึงการแบ่งงบให้แต่กระทรวง ทบวง กรม ในจำนวนที่แตกต่างกัน โดยต้องมีเหตุผลรองรับไม่ใช่ความรู้สึก ขอให้อยู่บนความเป็นจริง วิพากษ์ด้วยความรู้ อย่าวิพากษ์โดยมีเลศนัยอยู่ข้างหลัง เช่นเป็นคนของบริษัทโน้นแล้วมาวิพากษ์ อยากให้บริษัทตัวเองได้ อย่างนี้ถือว่าไม่ดี”
ถามว่า มีการมองว่ารัฐบาลเอาใจกองทัพด้วยการให้งบประมาณจำนวนมาก ผบ.ทบ.ตอบว่า คิดกันไปเอง เคยมีการพูดกันแล้วว่างบระมาณควรจะอยู่ที่เท่าไร ประเทศเรามีปัญหาเศรษฐกิจอยู่ แต่จะมากหรือน้อยต้องมีเหตุผลในตัวเอง ด้านการศึกษา การเกษตร การทหาร จำเป็นทั้งหมด ดังนั้นต้องทำให้เกิดความสมดุลว่าเรายากจนแค่นี้ควรใช้ของขนาดไหน เพื่อจะได้พอเพียงกับหลักประกันการสร้างความสงบเรียบร้อยได้ แต่ไม่ใช่ทุ่มเททางด้านเดียว
“เข้าใจว่ารัฐบาลทำตรงส่วนนี้อยู่แล้ว รัฐบาลแต่ละรัฐบาลมีเหตุผล แผนงานที่ทำและวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ก็เป็นแผนงานของรัฐบาลชุดเก่าที่ทำมาทั้งนั้น เช่น แพ็กเกจอาวุธต่างๆ อย่าลืมว่าอนุมัติมาตั้งแต่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีเหตุผลในแต่ละขั้นตอน อย่างไรก็ตามถ้าบ้านเมืองโดยรวมบอกว่าจำเป็นต้องพัฒนาการศึกษาก่อน ทหารก็เข้าใจ”
เมื่อถามว่า สัดส่วนงบประมาณในการป้องกันประเทศที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าใด พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ตัวเลขที่น่าจะเป็นอยู่ที่ 2% ของจีดีพีถือว่าอยู่ในระดับกลาง เพราะประเทศที่อยู่แถบนี้ได้เกิน 2% ทั้งนั้น เราคิดว่าถ้าเราได้ 2% น่าจะมีความสมดุลพอสมควร อย่างไรก็ตามขณะนี้เราได้ประมาณ 1.4-1.5% แต่ขณะนี้ไม่จำเป็นต้องได้ถึง 2% ถ้าภัยคุกคามอยู่ในระดับต่ำ แค่มีแผนงานที่ดีและดำเนินการตามแผน เลือกของที่เหมาะกับตนเอง แล้วนำไปใช้สิ่งที่ควรต้องใช้ เช่นการศึกษาหรือกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งตรงนี้ตนยอมรับว่าค่อนข้างหนัก แต่อย่ามาพูดว่าเอาใจนั่นเอาใจนี่ ซึ่งเป็นการพูดกันเป็นนิยาย ไม่ได้พูดด้วยเหตุผล
“ต้องเป็นแผนพัฒนากองทัพ เพราะเราคิดเองไม่ได้ ไม่เหมือนที่บางคนนึกว่า ผบ.ทบ.ตื่นเช้ามาไปจ่ายกับข้าวแล้วอยากจะซื้อหมูซื้อผัก เรื่องแบบนี้มีแผนอยู่ว่าจะต้องทำอย่างไร มีการวิจัยว่าทหารราบ ทหารบก ทหารม้า จะซื้ออย่างไร รวมถึงการพัฒนาบุคลากร”
ซักว่าจะชี้แจงอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจและไม่ให้มีการโจมตี พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า ไม่ได้ถือว่าโจมตี เพราะการตรวจสอบทำได้หมด แต่อย่ามีเลศนัย พูดด้วยความจริง ต้องเข้าใจว่าการซื้ออะไรสักอย่างประเทศไทยไม่ได้ให้ ผบ.ทบ.ไปเดินแล้วชี้ว่าจะเอาอะไร จะซื้ออะไร เรามีขั้นตอนในการทำงานอยู่ แต่นักข่าวคนเดียวไปเขียนว่าอันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดี ถามว่าท่านมีกรมสรรพาวุธอยู่ข้างหลังหรือถึงได้รู้ไปหมด ถ้าท่านมีกรมเหล่านั้นท่านก็วิพากษ์ได้ แต่รู้ว่าท่านไม่มี ส่วนใหญ่จะมีนัยยะ แต่ตนไม่รู้สึกเหนื่อยใจกับกระแสข่าวโจมตีแต่อย่างใด
ถามว่า เกรงหรือไม่ว่าหลังเกษียณจะมีคนตามไปเล่นงาน โดยเฉพาะเรื่องการจัดซื้ออาวุธ ผบ.ทบ.ยืนยันว่า “ไม่กลัว ไม่มีหรอก ผมกลัวผู้สื่อข่าวมากที่สุด เพราะเขียนนิยายไปเรื่อย”
ขณะที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ออกมาให้ความมั่นใจว่าร่าง พ.ร.บ.งบฯ ผ่านการพิจารณาของสภาอย่างแน่นอน
“ผมได้ตรวจสอบดู พรรคร่วมรัฐบาลร่วมเสียงน่าจะครบหมดทุกคน โดยเฉพาะพรรคชาติไทยพัฒนาครบ 25 เสียง”
นายบรรหารบอกว่า ได้คุยกับพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งอยู่ในกลุ่มของว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี, นายพินิจ จารุสมบัติ และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ซึ่งมีจำนวน 17-18 เสียง ก็ยินยันว่าจะโหวตให้รัฐบาลทั้งหมด และพรรคภูมิใจไทยที่ตนได้พบกับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรค รวมทั้งรวมชาติพัฒนา
เขาบอกว่า ดังนั้นถึงแม้ว่ารัฐมนตรีถึงลงคะแนนไม่ได้ แต่เสียง ส.ส.ที่มีอยู่มั่นใจจะลงก็เกินกึ่งหนึ่ง ไม่น่ามีปัญหา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ จะไม่ผ่านไม่ได้ เพราะจะไปเป็นประโยชน์กับประชาชน
สำหรับการอภิปรายงบฯ กระทรวงกลาโหม น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายเป็นคนแรก โจมตีว่าประเทศไทยยังมุ่งแต่สะสมอาวุธที่มีราคาแพง ไม่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งสวนทางกับทั่วโลกที่พยายามลดการสะสมอาวุธเพื่อสันติสุข
เขายังอภิปรายว่า รถยานเกาะล้อยางผ่านการจัดซื้อยุทโธปกรณ์มีการทุจริตคอรัปชั่นเอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง ที่ระบุว่าจะสร้างความมั่นคงให้กับคนในชาติ แต่กลับนำไปสร้างความมั่นคงต่อรัฐ เช่น การสร้างกองพลทหารราบที่ 7 จังหวัดเชียงใหม่ การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 7 จังหวัด ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ ทั้งที่ควรนำงบประมาณไปสร้างเสริมด้านการศึกษา โรงพยาบาล ที่เป็นการคืนกำไรกลับมาให้ประชาชนจะดีกว่า
ขณะที่ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ขอยืนยันว่างบกระทรวงกลาโหมเป็นงบที่สร้างความหนักใจให้ กมธ.มากที่สุด เพราะมาแบบลับๆ เปิดเผยไม่ได้ ขอเอกสารก็ไม่ให้ ขณะที่เอกสารข้อเท็จจริงนายสุวโรช พะลัง ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ก็มีอยู่คนเดียว และเปิดโอกาสให้ตนเข้าไปดูแค่ 5 นาที จากนั้นก็มีนายทหารโทรศัพท์ไปหานายสุวโรชเพื่อกำชับให้ กมธ.พยายามปิดบังข้อมูลเพื่อไม่ให้หลุดรอดออกไป จึงทำให้ตนดูข้อมูลไค้แค่ 5 นาที
เขายังระบุว่า มีการจัดซื้อรถบรรทุกของกองทัพตกคันละ 3 ล้านบาท แต่กองทัพขอลดได้แค่คันละ 1,500 บาท ถ้าเทียบกับที่ชาวบ้านซื้อมอเตอร์ไซค์ฟีโน่ยังลดได้มากกว่านี้อีก ตนอยากถามว่ามีรายการคุณขอมาจากราบ 11 หรือไม่
ร.ท.ปรีชาพลอภิปรายว่า มีสิ่งผิดปกติอีกในการจัดซื้อรถหุ้มเกราะแลนด์โรเวอร์วี 8 จำนวน 20 คัน คันละ 6 ล้านบาทที่ใช้ในการประชุมอาเซียนซัมมิตที่ จ.ระยอง ซึ่งขณะนี้ก็ได้ถูกนำมาให้บุคคลสำคัญใช้ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง แต่ที่น่าแปลกใจคือนำมาให้อธิบดีดีเอสไอและโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีใช้ จึงสงสัยว่าหากมีการรับรองแขกบ้านแขกเมืองจะต้องซื้อใหม่อีกหรือไม่ อยากให้มีการพิจารณาปรับลดงบประมาณในส่วนของการจัดซื้อรถยนต์รับรองบุคคลสำคัญในประเทศ เพราะนายกรัฐมนตรีใช้รถคันละ 11 ล้าน องคมนตรี 11 ล้าน แต่สนับสนุนให้จัดซื้อรถให้จุฬาราชมนตรีคันละ 4.5 ล้านบาท
ร.ท.ปรีชาพลกล่าวอีกว่า ขอตั้งข้อสังเกตในการจัดซื้อกริพเพนเฟสแรกจำนวน 6 ลำ มูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท และเฟสสองอีก 6 ลำ มูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นงบผูกพันตั้งแต่ปี 54-58 ซึ่งทั้งสองเฟสรวมมูลค่ากว่า 3.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ประเทศโรมาเนียที่ซื้อล็อตเดียว 24 ลำ ราคา 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้าเรานำมาเปรียบกับประเทศโรมาเนียเราซื้อในราคาที่แพงกว่า 1 หมื่นล้านบาท อยากถามว่ารู้หรือไม่ว่าเราเสียเปรียบ
ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีความไม่ชอบมาพากลมีการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ 16 ลำที่เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนบางรายอย่างชัดเจน จนศาลปกครองมีคำพิพากษาว่าผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงกลาโหมและกองทัพจำนวน 9 คน ต้องตกเป็นจำเลยในเรื่องดังกล่าว หลังจากที่บริษัทที่ถูกกีดกันนำเรื่องไปฟ้องร้อง รวมถึงยังมีการจัดซื้อรถกระบะกันกระสุนยี่ห้อวีโก้ไปใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 300 คัน ถือเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่เหมาะสม
เขาอ้างว่า การจะตรวจสอบเป็นไปอย่างยากลำบาก แม้แต่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าฯ สตง.ยังเคยถูกข่มขู่กลับมาหลังจากลงไปขอเอกสารเพื่อตรวจสอบในเรื่องต่างๆ ว่า ใครร้องมาวะ เดี๋ยวอุ้มแม่งเลย ถือเป็นคำพูดที่คุกคามอย่างยิ่ง
การอภิปรายของ ร.ท.ปรีชาพล ทำให้นายสุวโรชต้องลุกขึ้นมาโต้กลับว่า ไม่มีทหารโทรศัพท์มาบีบหรือกดดันตน แต่ข้อมูลด้านความมั่นคงเป็นความลับ ควรรู้เฉพาะบุคคลที่ควรรู้ และ กมธ.ก็ควรรู้ในระดับหนึ่ง ซึ่งธรรมเนียมก็ทำมาโดยตลอด ซึ่งหากเรื่องที่ตนพูดไม่เป็นความจริงก็ขอให้มีอันเป็นไป แต่ตนพูดเท็จก็สุดแล้วแต่กรรมของ ร.ท.ปรีชาพลจะเป็นอย่างไร
การอภิปรายนอกจากโจมตีเรื่องการจัดซื้ออาวุธที่ผิดพลาดของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นจีที 200 รถเกราะล้อยาง เครื่องบินกริพเพนแล้วยังมีการโจมตีตัวบุคคลด้วย
ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.ราชบุรี พรรคเพื่อไทย อภิปรายโจมตีนายทหารที่เกษียณอายุราชการไปแล้วยังคงอยู่ในบ้านพักราชการ และไม่มีทีท่าว่าคืนให้ราชการแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายของ ร.ต.ท.เชาวรินเป็นที่เข้าใจกันทั้งห้องประชุมว่าเป็นการโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านสี่เสาเทเวศร์
การอภิปรายในช่วงค่ำเริ่มมีสีสันขึ้น เมื่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทยหันมาโจมตีรัฐบาลว่าสั่งทหารฆ่าประชาชน มีการยกเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมาขึ้นมา
นายสมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย อ้างว่าชาวบ้านโทร.มาขอร้องให้อภิปราย ซึ่งเขาด่านายอภิสิทธิ์ว่าฆ่าประชาชน แล้วยังมีการยกย่องเป็นอภิสิทธัตถะ แต่ชาวบ้านเขาบอกเป็นอภิสัตว์
มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วงว่า ไม่มีการอภิปรายงบประมาณ กลับเป็นการโจมตีนายกฯ ทั้งที่หากพรรคเพื่อไทยไม่ปลุกม็อบคนเสื้อแดงมาเผาเมือง ก็ไม่มีใครตาย
ทั้งนี้ หลังการอภิปรายงบประมาณในมาตรา 6 กระทรวงกลาโหมกว่า 8 ชั่วโมง ในที่สุดที่ประชุมมีมติให้ความเห็นชอบงบประมาณของของกระทรวงกลาโหมด้วยคะแนนเสียง 242 ต่อ 159 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 20.

Comments are closed.